Skip to main content

จะไปทางไหนดี?

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


-๑-


 


การเปลี่ยนผ่านในระยะ ‘ปลายฝนต้นหนาว’ ปีนี้ดูจะไม่ปกตินัก...


 


นอกจาก ‘ฝนปลายฝน’ จะชุกเสียจนเกินชุ่มฉ่ำในหลายพื้นที่แล้ว ‘หนาวต้นหนาว’ ก็ยัง "เย็นยะเยือก" จับหัวใจใครต่อใครอีกหลายๆ คน


 


ชนิดเกินกว่าจะเคยคาดคิดกันไว้เลยทีเดียว...


ไม่เชื่อลองถาม ‘อากู๋ไพบูลย์’, ‘ประธานสุชน’ หรือ ‘นายกทักษิณ’ ดูก็ยังได้..!!


 


..............  ..............  ..............


 


เหตุการณ์ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบ ราคาน้ำมันก็ยังถีบตัวสูงขึ้นและสูงขึ้น เช่นเดียวกับราคาสินค้า และดัชนีผู้บริโภค ซึ่งไม่เคยมีแนวโน้มจะลดต่ำลง


 


ปัญหาการสรรหาและแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หรือบุคคลในองค์กรอิสระ นับวันก็จะยิ่งหมักหมมและเนิ่นนาน ประจาน ‘ตัวตน’ และ ‘ผลงาน’ ใครต่อใครจนแทบหาปี๊บได้ไม่พอคลุมหัว


 


พอๆ กับปัญหา ‘เมกะโปรเจค’ และ ‘ประชานิยม’ ที่บัดนี้ดูจะพ้นระยะกลัดหนอง จดจ้องรอเวลา ‘ปะทุ’ สู่สาธารณะยิ่งขึ้นทุกที


 


นี่ยังมิได้พูดถึงความ "ล้มเหลว" ใน "สงคราม" ต่างๆ ซึ่ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และ "รัฐบาลไทย" เคยประกาศไว้ ว่าถึงวันนี้มีอะไรคืบหน้าไปถึงไหนกันบ้างแล้ว


 


สงครามกับความยากจน สงครามต่อต้านยาเสพติด สงครามต่อต้านการคอร์รัปชั่น ฯลฯ หรือว่านั่นเป็น ‘คำประกาศด้านตรงกันข้าม’ ว่า "จะทำ" มิใช่ "จะต้าน" ดังที่หลายต่อหลายคนเข้าใจ


 


อะไรต่อมิอะไรใน "ยุคทักษิณ" ดูจะ ‘ขยายตัว’ และ ‘ทวีปริมาณ-สูงขึ้น’ โดยทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวในด้านร้าย หรือเพิ่มปริมาณความรุนแรง


 


"คุณภาพชีวิต" กระมังที่อยู่ในด้านตรงกันข้าม กล่าวคือ ‘ตกต่ำ’ จนเตี้ยเรี่ยดิน และไร้วี่แววของการ ‘โงหัว’ รอ ‘ฟื้น’ กลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็น ‘สัญญาณ’ ใน "ระยะสั้น" หรือ "ระยะยาว" ก็ตาม


 


ว่าก็ว่าเถอะ เมื่อปัญหามันมากมายถึงขนาดนี้ แถมยังไม่มีใครในฟากรัฐแก้ตก ก็แล้วคนไทยจะมี ‘นายกฯ’ มี ‘รัฐบาล’ กันไว้ทำไมก็ไม่ทราบ


 


-๒-


หลายคนกล่าวว่า ยิ่งนับวัน "คุณทักษิณและพวก" ก็จะยิ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ ‘ประชาชน’ ยิ่งขึ้นทุกที...


 


เพราะในขณะที่ประชาชนทำมาหากินด้วยความลำบากยากแค้น เลือดตาแทบกระเด็น รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ชนิดอดสองสามมื้อจึงจะได้กินอร่อยๆ สักมื้อ ก็ดูเหมือนกับว่า ‘ใครต่อใคร’ ที่แวดล้อมรอบตัวคุณทักษิณ ตลอดจนคุณทักษิณเองและครอบครัว จะอิ่มหมีพีมันกันทั่วหน้า จะจับจะคว้าอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด


 


ไม่เชื่อก็ลองสำรวจดูราคาหลักทรัพย์ หรือสภาพการประกอบการของธุรกิจต่างๆ ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่า คุณทักษิณ(ในนามของลูกหลานและวงศาคณาญาติ), รัฐมนตรีในคณะ หรือนายทุนสนับสนุนพรรคไทยรักไทย "ถือหุ้น" หรือเป็น "ส่วนหนึ่งส่วนใด" หรือ "มีส่วนเกี่ยวข้อง" อยู่ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ว่ามีหุ้นตัวไหน หรือกิจการใด เริ่มจะไปไม่รอดเพราะ "อยู่ใกล้ทักษิณ" บ้าง...


 


บรรยากาศเช่นนี้ สภาวการณ์เช่นนี้ หากไม่เกี่ยวกับบุญญาบารมีโดยตรงของ ฯพณฯ  ก็อาจเหมาเอาได้ ว่าบ้านนี้เมืองนี้ชักจะ "มีนอกมีใน" หรือมี "ผลประโยชน์ทับซ้อน-ซ่อนเงื่อนขนานใหญ่" เข้าให้เสียแล้ว...


 


-๓-


 


ในอดีต เมื่อครั้งที่คุณทักษิณยึดอำนาจรัฐด้วยกลไกการตลาดได้ใหม่ๆ ความมั่นใจในศักยภาพของท่านผู้นำ "หนุ่ม สด รวย และฉลาด" กับบริวารแวดล้อม ส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศ "เชื่อมือ" คุณทักษิณฯ กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง


 


ราษฎรเด็ก ราษฎรอาวุโส คหบดี นักธุรกิจ นักวิชาการ-นักวิชาเกิน พระ-เณร-เถร-ชี ดูจะ "ดาหน้า" กันออกมายินดีและร่วมการันตี "ความถูกต้อง-เหมาะสม-ไว้ใจได้" ของคุณทักษิณกันจนล้นหลาม


 


วินาทีนั้นใคร "ไม่เอาทักษิณ" ดูราวกับจะกลายเป็นตัวประหลาด ที่ทั้งแปลกแยกและแตกต่างกับ "คนทั่วไป" อย่างสุดกู่


 


วินาทีนั้น "คุณทักษิณ" ชี้นกเป็นไม้ หรือชี้ไม้ให้เป็นนก..ก็เป็นนกไปจนได้ ใครขัดคอดูจะเปลี่ยนตัวเองไปเป็น "สุนัขศีรษะเน่า" ในชั่วกระพริบตา


 


วินาทีนั้น เมื่อคุณทักษิณเอื้อนเอ่ยขึ้นว่า "ขอให้เชื่อผม..." ก็กลายเป็นคำตอบสุดท้าย หรือเป็นข้อสรุปได้ในทุกมิติ


 


ความศักดิ์สิทธิ์-อิทธิฤทธิ์-ปาฏิหาริย์ เหล่านั้น "ส่งผล" ให้เกิดอะไรต่อมิอะไรให้เกิดขึ้นตามมาอีกมาก ทั้งที่เป็นไปได้ และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ หรือไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ ในชั่วชีวิตของคนๆ หนึ่ง ในแผ่นดิน หรือ บนแผ่นดิน ที่เรียกกันว่า "ประเทศไทย" ของใครต่อใครทุกๆ คน


 


"โครงการนายกฯ ดำริ" หรือรายการ "ลดแลกแจกแถม" ในโปรโมชั่น "ทัวร์นกขมิ้น" และ "ครม.สัญจร" กลายเป็นกิจกรรมส่งเสริมการหาเสียงผ่านงบประมาณรัฐไปอย่างชอบธรรม


 


เช่นเดียวกับการปฏิรูประบบราชการ-จัดตั้งกระทรวงใหม่-ทำลายหน่วยงานเก่า ซึ่งเกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกและลุกลี้ลุกลน ภายใต้แนวคิดและวิธีการแบบ "ซีอีโอ"(ซึ่งมีเงาร่างของเถ้าแก่เนี้ยแฝงอยู่เบื้องหลัง)อันน่าตื่นตาตื่นใจ


 


ครั้งนั้นมีการจัด "เวิร์คช้อป" กันเป็นว่าเล่น คำว่า "บูรณาการ" กลายเป็นศัพท์ยอดนิยม เช่นเดียวกับคำว่า "สงคราม" คำว่า "คิดใหม่-ทำใหม่" และอีกหลายๆ วาทกรรมเชิงประชาสัมพันธ์


 


ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่ "ศัพท์" หรือ "คำพูด" มากไปกว่า "คำอธิบาย" และ/หรือ  ‘เป้าหมาย’ ของการนำออกมาเผยแพร่ ว่า..สุดท้าย ‘ ใคร’ ปรารถนา ‘ความ’ อันใดกันแน่


และยิ่งกว่านั้น คงไม่สำคัญไปกว่า "ผล" อันเกิดขึ้นจริง


ที่ทุกคน หรือทุกภาคส่วนต้องประสบ หรือจำต้องพบ และรับชะตากรรมร่วมกัน


 


-๔-


 


หลายวันมานี้มีข่าวการทุ่มเงินซื้อหุ้น(หรือซื้อโอกาสในการบริหารกิจการ)ของ "มติชน" และ "Bangkokpost" โดย นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม และกิจการในความดูแลของเขา ปรากฏตามสื่อต่างๆ อย่างหนาหูหนาตา จนหลายฝ่ายต้องออกมาเรียกร้อง บ้างออกมาคัดค้าน และบ้างก็ออกมาแสดงทัศนะในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ให้สอบทานความถูกต้องและเหมาะควร


 


ไม่ว่าจะในด้านการ "กระทำ" ต่อสื่อคุณภาพระดับสถาบัน ‘ฝ่ายถูกซื้อ’ หรือที่เกี่ยวกับคุณธรรม-จริยธรรมของ "นักลงทุน" เช่น นายไพบูลย์ ในฐานะ "ผู้ซื้อ" ซึ่งมุ่งกวาดรวมเอาหุ้นจำนวนมากมาไว้ด้วยกัน ในปริมาณระดับมีสิทธิ์ขาด และมีอำนาจกำหนดนโยบายกิจการทั้งระบบ


 


ทั้งนี้ ยังไม่นับการวิเคราะห์ในเชิง "ธุรกิจการลงทุน" ซึ่งพูดกันอึงมี่ ว่าเอาเข้าจริงการซื้ออย่างไม่เป็นมิตรของนายไพบูลย์ครั้งนี้  "คุ้ม" หรือ "ไม่คุ้ม" กันแน่...


 


จะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้ Itv เอง ก็เคยถูกผู้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทักษิณ "ซื้อเข้าคอก" มาแล้วครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับสื่อในเครือเนชั่นกรุ๊ป ที่ถูกครอบครัวคนในรัฐบาลนั่นเอง ‘ทุ่มทุน’ เข้า "ยึดครองอย่างมีนัยสำคัญ" มาด้วยแล้วเช่นเดียวกัน


 


นอกจากนั้น ในอีกด้านหนึ่ง คุณทักษิณเองนี่แหละ ที่เคยถูกกล่าวหามาแล้ว ว่าเอื้อประโยชน์โดยการลดภาษีจำนวนมหาศาล ให้แก่การประกอบธุรกิจกิจดาวเทียม(ซึ่ง ณ วันนี้ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก) ของบริษัทซึ่งเขามีส่วนก่อตั้งมาเองกับมือ


 


"ดาวเทียม" ที่ว่ากันว่า จะทรงอิทธิพลด้านข่าวสารและข้อมูลสารสนเทศต่อผู้คนในหลายภูมิภาคของโลกไปอีกนานนับนาน


..............  ..............  ..............


 


แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะถือได้ ว่าทุกเรื่องที่กล่าวมานั้น เป็นธรรมดาของการลงทุน ในตลาดเสรี ที่ใคร "มีทุน" หรือ "มีมูลค่าความน่าเชื่อถือ" ก็สามารถ "กระทำได้" โดยที่กฎหมายยังไม่สามารถเอาผิด หรือสังคมยังตรวจสอบเข้าไปไม่ถึง แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องตระหนักหรือสำเหนียกเอาไว้ด้วย ก็คือ


โดยสัจจะแล้ว "ผล" นั้นย่อมเกิดมาแต่ "เหตุ" ทั้งสิ้น...


 


ผู้ปลูกต้นมะเขือที่ตั้งใจและดูแลเอาใจใส่ตามสมควรก็ย่อมจะได้รับผลมะเขือเป็นรางวัล เขาไม่ได้เห็นผล ทายาทของเขาหรือผู้เกี่ยวข้อง ก็ย่อมจะมี "ส่วนได้ส่วนเสีย" ใน "ต้น" และ "ผลมะเขือ" นั้นๆ ไม่มากก็น้อย


 


และว่าอย่างถึงที่สุดแล้ว คงไม่มี "ใคร" หรือ "สิ่งใด" หลบหนี "กฎแห่งความเกี่ยวข้องโยงใยของสรรพสิ่ง" ไปได้พ้น


 


กล่าวคือ "มะเขือ" ทั้งที่เป็น "ผล" หรือเป็น "ต้น" ก็ย่อมมีความโยงใยเอาชีวิต ชุมชน และธรรมชาติแวดล้อม หรือกระทั่ง "คุณธรรม-จริยธรรม" ตลอดจน "ศาสนธรรม" เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ดี


 


ยิ่งคนๆ นั้น "มี" หรือ "เกี่ยวข้อง" กับ "อำนาจ-ผลประโยชน์" มากเพียงใด "มะเขือ" ของเขา ก็ยิ่ง "ส่งผลกระทบ" มากมายมหาศาลไปด้วยเท่านั้น


 


-๕-


 


ใช่หรือไม่ว่า "ปัญหาร้อยแปดพันเก้า" ที่ทำเอานายกรัฐมนตรีไทยผู้รวยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตกที่นั่ง "ลิงติดแห" หรือ "หนูติดกาว" อยู่ในวันนี้ ล้วน "มี" หรือ "เกิด" มาแต่ "ความเชื่อถือ" ที่ประชาชนมีให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ "การใดๆ" ที่นายกทักษิณปฏิบัติโดยอิงอาศัยความเชื่อถือเหล่านั้น ทั้งหมดทั้งสิ้น


ใช่หรือไม่ว่าความ "วุ่นวาย-สับสนอลหม่าน" ประดามี ที่กำลังเกิดขึ้นกับคนไทยและสังคมไทย จะมากจะน้อย ก็มีตัวละครหลักๆ อยู่ที่นายกทักษิณและสมุนบริวาร ตลอดจนการบริหารงานของพวกเขา(และเธอ)ทั้งสิ้น


 


เพราะภายหลังจากการเข้ามาบริหารประเทศอย่างมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นายกรัฐมนตรีท่านนี้มิได้ "บริหารงาน" ไปตามกลไกหรือครรลองของระบบ "เดิมๆ" แต่อย่างใด หากเขากลับใช้อำนาจและความไว้วางใจที่มีอยู่ หรือที่ประชาชนมอบให้ เข้าไป "ถอดรื้อ" สิ่งที่เรียกกันว่า "สังคมไทย" อย่างขนานใหญ่ ทั้งในเชิง "โครงสร้าง" และ "ระบบคุณค่า" นานาประการ


 


ซึ่งจะว่าไปแล้ว สิ่งเหล่านั้น ก็มิใช่ว่าจะกระทำมิได้ หากจะดำเนินการไปด้วยวิสัยทัศน์ หรือญาณทัศนะที่ตั้งอยู่บนสัมมาทิฏฐิ และประกอบไปด้วยความเหมาะควรทางปัญญารองรับอยู่ แทนที่จะเป็นการลุแก่อำนาจ หรือหลงผิดคิดโลภไปด้วยผลประโยชน์แฝงเร้นในลักษณะดันทุรัง กระทั่งเหตุปัจจัยที่มีอยู่เดิมไม่อาจรองรับได้ ต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่โหมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเข้ามา


 


และด้วยความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเอง นอกจากจะเกิดปรากฏการณ์แปลกใหม่ขึ้นแล้ว ยังก่อให้เกิดพลวัตแห่งการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบในวงกว้าง อย่างแทบไม่มีที่สิ้นสุด ชนิดที่อาจกล่าวได้ว่า "ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศาสนา หรือแม้แต่ในสถาบันหลักๆ ของชาติก็ตาม


 


เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น อันส่อแสดงถึงความ "อลหม่าน" ที่ว่ามานั้น หลายคนคาดการณ์ด้วยความวิตกว่าน่าจะเป็น "สิ่งบอกเหตุ" ระดับ "ผิวเปลือก" เท่านั้นเอง


 


หาใช่ความเสียหาย "ตัวจริง" แต่อย่างใดไม่ !!


 


-๖-


 


หากจะกล่าวกันอย่างกัลยาณมิตรที่สามารถติเตือนกันได้อย่างตรงไปตรงมาแล้ว วันเวลาที่เหลืออยู่ของ "คุณทักษิณ" หรือ "รัฐบาลทักษิณ" น่าจะเป็น หรือน่าจะใช้ ไปสำหรับการแก้ปัญหาทั้งที่ผ่านมา และปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้น ด้วยเหตุปัจจัยซึ่ง "คุณทักษิณกับพวก" กระทำไว้ในอดีต มากเสียกว่าจะมาครุ่นคิด หรือตั้งใจนฤมิตสิ่งใดขึ้นมาอีก


 


ถ้อยคำหวานที่หว่านล้อมชักจูง หรือโน้มน้าวมุ่งเอาคะแนนเสียงในสมัยการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไป ไม่ว่าจะมีมาด้วย "กุศล" หรือ "อกุศลเจตนา" ก็ตาม หากสัญญาเหล่านั้นมิสามารถปฏิบัติได้จริง ก็ชอบก็ควรที่จะ บอกกล่าว-ยอมรับ ไว้เสียแต่เนิ่นๆ แทนที่จะต้องยุดยื้อถือเป็นภาระต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ


 


เช่นเดียวกับการ "แสดงความรับผิดชอบ" ซึ่งหากถึงที่สุดแล้ว แน่ชัดว่าไม่สามารถกระทำได้ ด้วยความสามารถของตนและหมู่คณะ การยอมรับฟังผู้อื่น หรือการร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องอับอายอะไรจนเกินไป


 


หรือกระทั่งการยอม "ลงจากเวที" หรือยอม "ล้างมือในอ่างทองคำ" ก็ใช่ว่าจะมีใครตำหนิติเตียนได้ เมื่อพิสูจน์เป็นที่แน่ชัดแล้ว ว่าตน(และคณะ)ทำงานเพื่อประชาชน เพื่อชาติ และเพื่อพระศาสนา มาสุดความสามารถแล้ว การ "ยอมรับความจริง" น่าจะเป็นที่ยกย่องของผู้รู้ หรือวิญญูชนไปเสียอีก ค่าที่ "คุณทักษิณ(และพวก)" ยังเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว


 


ใครๆ ก็ผิดพลาดได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดๆ ก็ตาม จนกว่าเขา(หรือเธอ)จะพัฒนาไปสู่ภาวะสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์(โดยคติพุทธศาสนา) กล่าวคือ การได้รับ "อรหัตตผล" จนสามารถตัดกิเลสในสันดานได้อย่างเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง


 


ในฐานะที่เป็นปุถุชน คนทำผิดคิดพลาด ที่สามารถกลับตัวกลับใจ ย่อมได้รับการให้อภัยหรือได้รับการงดโทษเสมอ...


 


"เส้นทาง" นั้นมีมาก และ "หลายทาง" ก็สามารถนำไปสู่ "จุดหมาย" ได้ในที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะเลือกเดิน "เส้นทางใด" และเลือกเดิน "เพื่อใคร" หรือ "เพื่อสิ่งใด" เสียมากกว่า


 


-๗-


 


การเปลี่ยนผ่านในระยะ ‘ปลายฝนต้นหนาว’ ปีนี้ดูจะไม่ปกตินัก...


 


นอกจาก ‘ฝนปลายฝน’ จะชุกเสียจนเกินชุ่มฉ่ำในหลายพื้นที่แล้ว ‘หนาวต้นหนาว’ ก็ยัง "เย็นยะเยือก" จับหัวใจใครต่อใครอีกหลายๆ คน


 


ชนิดเกินกว่าจะเคยคาดคิดกันไว้เลยทีเดียว...


 


ไม่เชื่อลองถาม ‘อากู๋ไพบูลย์’, ‘ประธานสุชน’ หรือ ‘นายกทักษิณ’ ดูก็ยังได้..!!


ว่าจะ "เปลี่ยนผ่าน" หรือ "เปลี่ยนไป" บนเส้นทางใดดี?