Skip to main content

ผืนดินของเรา

คอลัมน์/ชุมชน

สายยางสีขาวยาวกว่า 3 เมตร


ถูกฉันลากไปเรื่อยๆ รอบบริเวณบ้าน


ต้นไม้ที่ปลูกไว้ในกระถาง กินอาหารจากปุ๋ย ดิน และน้ำ


กำลังเติบโตเท่าที่มันทำได้


ในพื้นที่ของบ้านเช่าขนาด 30 กว่าตารางวา ไม่มีพื้นที่ใดเป็นผืนดิน


เจ้าของบ้านปูพื้นด้วยกระเบื้องสีขาวสลับกับสีแดงม่วง


เขาให้เหตุผลว่าทำความสะอาดง่าย ไม่รกชื้น ไม่มีตัวหนอนไส้เดือน


ฉันตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ด้วยหลายเหตุผล


ตามมาด้วยความรู้สึก "เสียดาย"


ที่ไม่ได้เหยียบผืนดินเล่น ทั้งที่ย้ายชีวิตจากเมืองหลวงมาอยู่เมืองเหนือแล้ว


................................................................


 


รดน้ำต้นไม้เสร็จ


ก็เก็บกระเป๋า เดินทางกว่าร้อยกิโลเมตร


ผ่านภูเขา ทุ่งหญ้า แม่น้ำ แล้วไปนั่งเล่นเงียบๆ อยู่ริมคลอง


พิจารณาผืนดินขนาด 200 ตารางวา ซึ่งแม่เคยซื้อเอาไว้หลายปีก่อน


บ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ยังคงสภาพเช่นเดิมตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก


เป็นการย้ายบ้านครั้งที่ 5 เท่าที่จำความได้


ก่อนหน้านั้นเราเคยอาศัยอยู่ภายในบริเวณที่ของวัด แม่และพ่ออาศัยผืนดินนั้นปลูกข้าวโพด


และปลูกกระท่อมหลังเล็กๆ ไว้อยู่


จากนั้นต่อมา เราไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ของญาติ


กระท่อมเล็กๆ ไม่ได้แปรขนาด แต่แปรสภาพจากผนังกระดาษปูนเป็นผืนฝากจากไม้ไผ่


มีบ้านหลายต่อหลายหลังอยู่ในพื้นที่เดียวกัน


ที่นั่น มีลุงขี้เมา มีน้าชายเสพยาบ้า มีลูกพี่ลูกน้องที่ชอบลวนลามเด็ก


 


บ้านไม้ริมต้นขนุนในพื้นที่ขออาศัย ก็ถูกรื้อถอนอีกครั้ง


พร้อมการตัดสินใจของแม่ ที่ไปขอยืมคนอื่นเพื่อมาซื้อที่


ผืนแปลงเล็กๆ ติดลำคลอง ว่ากันว่า เป็นที่ดินติดที่ผีตาย มีตำนานว่าสมัยโบราณ


คนจนไม่มีเงินทำศพจึงเอาคนตายมาลอยน้ำหรือฝังดินทิ้งไว้


ไม่เคยมีใครอาศัยอยู่ เป็นที่ใกล้ทางสามแพร่ง


เป็นจุดแยกของแม่น้ำแบ่งเป็น 2 สาย


มีหลายเหตุผลที่ไม่ควรจะอยู่อาศัยเป็นบ้าน


แต่ที่นั่นคือที่ฉันได้เติบโตมีชีวิตอยู่


 


จนถึงวันนี้


พ่อใช้ไม้ไผ่กั้นที่บริเวณใต้ยุ้งข้าว ทำเป็นที่เก็บของส่วนตัว


ในนั้นมีกลองสะบัดชัย ชุดรำ ดาบ สมุด หนังสือ


บ่อน้ำเก่าหน้าบ้าน ไม่ได้ใช้แล้ว มีท่อประปาที่วางไปทั่วบ้าน


พืชสมุนไพรส่วนหนึ่งกำลังเติบโต พร้อมผลิตภัณฑ์ยาที่พ่อทำขึ้นเองเพื่อไว้แจกชาวบ้าน


ข้างฝามีใบประกาศผ่านการอบรมแพทย์แผนโบราณ


รวมทั้งภาพถ่ายของพ่อ ขณะทำหน้าที่เป็นผู้นำการเต้นแอราบิคผู้สูงอายุ


 


ฉันนั่งอยู่ใต้ต้นลำไย


มองไปยังรอยเท้าของพ่อ ยามเขาเยื้องย่างไปยังแต่ละจุดของผืนดิน


รองเท้าเก่าๆ ที่มีร่องรอยการเดินทาง พ่อใช้สวมวิ่งในตอนเช้า


ขี่จักรยานไปตลาด ปลูกต้นไม้ และไปทำบุญที่วัด


 


"พ่ออยากได้รองเท้าใหม่ไหม"


ฉันเอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบ


พ่อพยักหน้า แล้วบอกว่า "เอาสีน้ำตาลนะ เบอร์ 5 แบบทนน้ำได้"


ฉันยิ้ม จดไว้ในใจ มองไปยังต้นกาหลาริมคลอง ที่โตวันโตคืน


และออกดอกมากเสียจนมีคนมาขอซื้อ


 


"พ่ออยากได้บ้านใหม่ไหม"


น้ำเสียงยังคงราบเรียบ


พ่อพยักหน้า แล้วบอกว่า "เอาบันไดเตี้ยๆ ที่เดินขึ้นง่ายๆ พื้นดินตรงนี้เทปูนหรือปูกระเบื้องให้เต็ม


พ่อจะได้นั่งเล่น นอนเล่น หรือสานไม้ไผ่ทำหมวก ช่วงนี้สนุกกับการทำหมวกมาก ทำใบใหญ่ๆ ไม่ต้องถือร่มเวลาฝนตก"


 


ฉันปล่อยให้พ่อเล่าไปเรื่อยๆ ขณะยืดตัวลงนอนบนชานไม้ไผ่


แอบมองแววตาของพ่อ ที่ไล่ไปทั่วบริเวณบ้าน


การปลูกบ้านใหม่คงใช้เวลาและเงินอีกมหาศาล


หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้เวลาเลื่อนผ่านไป


 


แต่วันหยุดมีนาฬิกาจำกัด


ฉันยกมือไหว้พ่อ


ไหว้แฟนใหม่ของเขา


ไหว้น้าข้างบ้าน ก่อนจะเอ่ยคำอำลา


ก่อนจากมา พ่อจับหัวเบาๆ แล้วบอกว่า


 


"เรื่องบ้านอย่าไปเครียดล่ะ ไว้มาปลูกใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ พ่อจะทำตัวให้อายุยืน"


ฉันหัวเราะขำ รอยยิ้มคงทำให้คนแก่มีความสุข


"แต่ถ้าอายุไม่ยืนพอ ก็ไม่ต้องเสียดาย ยังไงเสียนี่ก็เป็นผืนดินของเรา"


 


ฉันยิ้มทั้งน้ำตา รีบหันหน้าไปหยิบกระเป๋า


แล้วก็ข้ามภูเขา ข้ามน้ำ ข้ามทุ่งหญ้า


กลับมายังบ้านเช่า ที่มีแมวสีดำหน้าแสกรออยู่


รดน้ำต้นไม้อีกครั้ง พรวนดิน เอาขยะไปทิ้ง


ตัดต้นว่านที่เริ่มลุกลามต้นไม้อื่น


 


ตะวันกำลังจะตกดิน มองภาพข่าวในโทรทัศน์


การวิเคราะห์ปัญหาสารพันของภาคการเมืองและการเตรียมรับกับพายุลูกใหม่


พิจารณาข่าวสารและมองงานที่รออยู่ตรงหน้า


มองหนังสือบนชั้น พัดลม เก้าอี้ เปลนอนที่วางเอาไว้


 


อาจเป็นการพิจารณา "ผืนดินอื่น" ที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่


ในขณะที่มองเห็น "ผืนดินของเรา" อยู่ปลายสายตา


 


ลิบลับ ลิบลับ.