"เฉียดแต่เสียว..."
คอลัมน์/ชุมชน
หลังจากที่ข่าวคดีสะเทือนขวัญเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันที่ ๙ กันยายนที่ผ่านมา กรณีนางสาวจิตรลดา หรือเป็ด มือมีดสาวบุกแทงนักเรียนเซนต์โยเซฟบาดเจ็บสาหัส ๔ คน ในที่สุด เธอถูกตำรวจจับกุมได้ที่ร้านอาหารครัวตาน้อย หลังสวนจตุจักร เพราะเจ้าของร้านได้โทรศัพท์แจ้งให้ตำรวจมาจับกุมสาวเสริฟคนใหม่ในร้านที่มีใบหน้าคล้ายกับภาพสเก๊ตช์คนร้ายที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ และระหว่างนี้เธอกำลังได้รับการบำบัดรักษาและรอการดำเนินคดี ส่วนน้องๆ นักเรียนหญิงทั้งสี่คนปลอดภัยแล้ว
หลังจากตำรวจแถลงข่าวการจับกุม ฉันโทรศัพท์คุยกับน้องชายซึ่งเป็นพนักงานคนหนึ่งในร้านอาหารครัวตาน้อย เอสโซ่เล่าว่า "โหยพี่...ใครจะไปนึกว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบาง หน้าตาดีจะเป็นโรคจิต วันแรกที่เธอมาทำงาน หนุ่มๆ ในร้านยังจ้องกันว่า สาวโสดหน้าตาดีใครได้เป็นแฟนนะเยี่ยมเลย"
ฉันจึงถามน้องชายว่า "แล้วพอหนุ่มๆ รู้ทีหลังว่าเขาเป็นมือมีดล่ะ" น้องชายฉันหัวเราะเสียงดังก่อนจะตอบว่า "โคตรเสียวเลยพี่ แต่คงไม่เสียวเท่าพี่หน่อง (พนักงานหญิงในร้าน) นอนกับเขาทั้งคืน ดีนะที่รอดมาได้ไม่ถูกเขาเสียบอีกคน" เหอเหอ...
บังเอิญในช่วงที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องนี้ครึกโครม ฉันได้ไปทำงานที่เชียงใหม่ (เนื่องจากองค์กรแพธที่ฉันทำงานอยู่ได้พยายามส่งเสริมการป้องกันเรื่องเอชไอวีเอดส์ในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย ภายใต้ชื่อโครงการ MPLUS+) ฉันจึงเล่าเรื่องเหตุเฉียดที่ครัวตาน้อยให้น้องๆ สมาชิกชายรักชายฟัง โดยที่ตัวเองไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าความรู้สึกตื่นเต้นที่บังเอิญน้องชายและเพื่อนๆ ซึ่งเป็นคนใกล้ตัวได้เฉียดใกล้อันตรายและรอดออกมาได้อย่างหวุดหวิด โดยที่ไม่มีใครบาดเจ็บและสูญเสียอะไร
ในคืนนั้นเอง ชายคนหนึ่งที่ฟังฉันเล่าเรื่องเฉียดในตอนกลางวัน ขอตามฉันไปที่ห้องพักโดยบอกกับฉันว่าเขามีเรื่องทุกข์ร้อนใจจะปรึกษา เราทั้งสองคุยกันเพียงลำพังเกือบ ๒ ชั่วโมง โดยที่ชายหนุ่มคนนี้เริ่มต้นเล่าเรื่องว่า "พี่รู้ไหมแฟนผมติดเชื้อเอชไอวี ผมและเขาไปตรวจเลือดเพื่อบริจาคโลหิตเมื่อหลายเดือนก่อน แล้วปรากฏว่าผลเลือดเขาติดเชื้อแต่ผลเลือดผมปกติ ผมรู้สึกอึดอัดมากไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง วันนี้พอพี่เล่าเรื่องเฉียด เลยทำให้ผมอยากมาคุยกับพี่"
ฉันรับฟังเขา และพยักหน้าหงึกหงักตามสูตรการให้คำปรึกษาที่ร่ำเรียนมา "ผมรอดมาได้เพราะผมเคยไปเยี่ยมผู้ป่วยเอดส์ที่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง และขณะเดียวกัน ผมมีความเข้าใจที่ชัดเจนว่า ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ไม่สามารถดูได้จากหน้าตา รูปร่างภายนอก เราจึงไม่ควรประมาทไว้ใจใครทั้งสิ้น ผมจึงใช้ถุงยางทุกครั้งที่ทำออรัลเซ็กส์ หรือมีเพศสัมพันธ์ ถึงแม้ว่า เขาจะเป็นแฟนเป็นคนใกล้ตัวและอยู่ด้วยกันมาเกือบปี ผมเลยรอดจากการติดเชื้อ"
หลังจากนั้น บทสนทนาระหว่างเราวนเวียนในเรื่องการที่เขาต้องจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับคู่ การช่วยดูแลพาแฟนไปตรวจภูมิต้านทานเพื่อวางแผนในการดูแลสุขภาพ สุดท้ายที่ชายหนุ่มผู้นี้พูดทิ้งท้ายไว้คือ
"คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ นะพี่นะ เราทุกคนต้องเรียนรู้เพื่อจะระวังและป้องกันตัวเอง เพราะถ้าตัวเรายังชะล่าใจไม่รู้จักป้องกันตัวเอง แล้วใครที่ไหนจะมาป้องกันให้เรา เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองเป็นโรคจิต หรือเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี"