เด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันมิให้คอหัก
คอลัมน์/ชุมชน
สำหรับคนที่ดูเคเบิลทีวี คงจะคุ้นตาสปอตโฆษณาขององค์การยูนิเซฟที่มีข้อความว่าเด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันจากนั่นจากนี่ต่างๆ นานา
ผมขอเสนอให้เติม "เด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันมิให้คอหัก"
วันที่ 24 กันยายนเป็นวันมหิดล วันมหิดลปี พ.ศ.2548 เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของวงการสาธารณสุขโลก เพราะเป็นวันที่ประเทศไทยห้ามวางบุหรี่ ณ จุดขายเป็นผลสำเร็จ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อพอๆ กับเป็นเรื่องน่ายินดี
ไม่น่าเชื่อว่าเราทำได้ น่ายินดีเพราะ "เด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันจากควันบุหรี่"
เพียงวันเดียวคือวันที่ 25 กันยายน พ.ศ.2548 ประเทศไทยโดยกระทรวงวัฒนาสังคมก็เปิดสนามแข่งมอเตอร์ไซค์บรึ้นๆ ให้เด็กๆ ได้ประลองความเร็วกันอย่างถูกกฎหมาย
รัฐบาลนี้ถนัดนักเรื่องทำอะไรต่อมิอะไรให้ถูกกฎหมาย นำหวยใต้ดินมาไว้บนดิน คิดเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมาย คิดเอาเหล้าเข้าตลาดหุ้น คิดเพียงว่าเมื่ออ้างกฎหมายแล้วทุกอย่างก็จะเรียบร้อยตามกฎหมาย
ตามข่าวแจ้งว่า เด็กๆ ที่จะลงสนามแข่งขันในวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ.2548 นี้ส่วนใหญ่อายุ 15-17 ปี ความเร็วที่ใช้แข่ง 180-220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้ปกครองต้องลงนามยินยอม และเด็กต้องใส่หมวกกันน็อค
ย่อหน้าที่ผ่านมา มีอะไรต่อมิอะไรขัดแย้งกันเอง คนอายุ 15-17 ปีเป็นเยาวชนที่ยังไม่สามารถรับผิดชอบการกระทำของตนเองได้ แต่ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ทำเหมือนว่าเมื่อลากเอาพ่อแม่มาลงนามยินยอมและสวมหมวกกันน็อคให้ 1 ใบได้แล้ว เพียงเท่านี้คนอายุ 15-17 ปีก็เติบโตรับผิดชอบผลลัพธ์ของการกระทำได้ทันตา
เป็นตรรกะที่บ้าบอคอแตกจริงๆ
คนอายุ 15-17 ปีนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะ อันนี้เป็นภาษากฎหมาย ภาษาจิตวิทยาจะพูดว่าคนอายุ 15-17 ปีนั้นยังไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีวุฒิภาวะแปลได้หลายอย่าง อย่างหนึ่งนั้นคือไม่มีความสามารถในการทำนายผลลัพธ์ของการกระทำได้เต็มร้อย พูดให้สุดโต่งว่าไร้ความสามารถในการทำนายอนาคต
เหตุที่คนอายุไม่ครบ 18 ไร้ความสามารถในการทำนายอนาคตเพราะความคิดเชิงนามธรรมหรือที่เรียกว่า abstract thinking ยังพัฒนาไม่เสร็จสมบูรณ์ การคิดเชิงอุปมาอุปมัย การตั้งสมมติฐาน หรือการเปรียบเทียบก็ทำได้ไม่เต็มที่ จึงไม่สามารถคิดไกลได้
คนอายุไม่ครบ 18 ยังคิดเป็นท่อนๆ และเป็นก้อนๆ เสียมาก ดังที่เรียกว่า concrete thinking รู้แค่ว่าขับรถเร็วสนุก แต่ไม่รู้ว่าแล้วไงต่อ รู้แค่ว่าขับรถเร็วเท่ แต่ไม่รู้ว่าแล้วไงต่อ รู้แค่ว่าดัดแปลงท่อไอเสียอย่างไรถึงจะดัง แต่ก็ไม่รู้ว่าไงต่อ รวมทั้งรู้ว่าพ่อแม่เซ็นยินยอมแล้วแข่งได้ แต่ก็คิดไม่ได้ว่ายังไงต่อ และรู้ว่าใส่หมวกกันน็อคป้องกันหัวกระแทกพื้นได้ แต่ก็รู้เท่าที่เขาบอกมา ไม่รู้ว่ายังไงต่ออีกเหมือนกัน
เมื่อครั้งที่ผมทำงานอยู่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ผมเห็นเด็กขี่มอเตอร์ไซค์แล้วล้มคอหักมาห้องฉุกเฉินเสมอๆ (ภาษาอังกฤษว่า always) เวลาไปเยี่ยมผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยออโธปิดิกส์ก็พบเห็นเด็กคอหักเป็นอัมพาตแขนขาทั้ง 4 ข้างและไอ้จู๋อีก 1 บ่อยๆ (ภาษาอังกฤษว่า often) เด็กพวกนี้อายุไม่เกิน 18 ทั้งนั้น ที่ตายถือว่าโชคดี ที่เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไปทำได้แค่อ้าปากให้แม่ป้อนข้าวตลอดชีวิตที่เหลือนั้น เห็นแล้วจะจุกพูดไม่ออก
เวลาอุจจาระก็ต้องรอแม่เอาถาดมาวางให้ เสร็จแล้วแม่ก็ต้องเช็ดก้นให้ ตลอดชีวิตและตลอดไป
"รู้สึกยังไงบ้าง" ผมเคยถาม
"ผมอยากตาย ผมสงสารแม่" เด็กคอหักตอบ
ตอนเอารถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านทำไมไม่คิดสงสารแม่ เช่นนี้จึงว่าเด็กอายุไม่ถึง 18 นั้นคิดไกลไม่เป็น ทำนายผลลัพธ์ของการกระทำไม่ได้ คนที่ทำนายผลลัพธ์ของการกระทำได้จึงเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จึงมีหน้าที่ป้องกันเด็ก มิใช่ส่งเสริมเด็กไปคอหัก
เรื่องนี้อย่างไรๆ เด็กก็เป็นเหยื่อ เมื่อเหยื่อกำลังเดินไปตาย จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่ต้องห้าม จึงว่า "เด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันมิให้คอหัก"
การห้ามตั้งบุหรี่ ณ จุดขายเป็นการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ซึ่งก็คือเยาวชน ยุทธศาสตร์นี้มุ่งจัดการนักสูบหน้าใหม่โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่ที่ทำงานด้านบุหรี่รู้ว่าเด็กคือเหยื่อ ถึงเด็กจะมีเงิน ถึงเด็กจะอยากสูบ แต่เขาก็คือเหยื่อ ผู้ใหญ่ที่ดีจึงทำหน้าที่ป้องกันมิให้เหยื่อถลำตัวเข้าไปหาความตาย
การพนันเป็นของไม่ดี สังคมต้องป้องกันมิให้เยาวชนเข้าหาการพนันโดยง่าย
เหล้าเป็นของไม่ดี สังคมต้องป้องกันมิให้เยาวชนเข้าหาเหล้าได้โดยง่าย
แข่งรถไปคอหักก็เช่นกัน เยาวชนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรควร สังคมต้องช่วยกันอบรมสั่งสอนให้พวกเขารู้ถูกรู้ควร แม้ว่าเขาจะมีเงินและอยากแข่งความเร็ว แต่เขาก็คือเหยื่อที่ไร้วุฒิภาวะ
ผู้ใหญ่ที่ดีต้องทำหน้าที่ป้องกันมิให้เหยื่อถลำตัวเข้าไปหาความตาย