Skip to main content

เลือกได้แน่หรือ

คอลัมน์/ชุมชน

ตามสัญญาที่บอกว่า ฉบับนี้จะเขียนบรรยากาศของเทศกาลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ให้ได้ร่วมรับรู้ว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง


เพราะการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 นี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการหาเสียงไปในทางลบมากกว่าทุกยุคที่มีมา เพราะยุคนี้เพิ่มการหลอกลวงให้เชื่อ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆสารพัดวิธีที่นักการเมืองงัดออกมาใช้ และการที่ผู้เขียนนำมาเล่าไม่ใช่เป็นการเชียร์พรรคใดพรรคหนึ่ง เพียงแต่ต้องการให้ผู้อ่านร่วมรับรู้ว่า ขณะนี้ประชาธิปไตยบ้านเรากำลังถึงจุดที่จะต้องร่วมกันแก้ไขแล้วหรือยัง


จากสถานการณ์จริงของเช้าวันที่ 18 ธันวาคม 2547 หอกระจายข่าวในทุกพื้นที่มีการประกาศเชิญชวนให้ประชาชนทุกพื้นที่ไปร่วมฟังการปราศรัยของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิน ชินวัตร ที่จะมาปราศรัยช่วยผู้สมัครของพรรคหาเสียง โดยมีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นผู้นำเสื้อของพรรค ไปแจกให้ผู้ที่จะสามารถรวบรวมคนไปฟังได้จำนวนมาก (กลุ่มผู้นำชุมชนและอาสาสมัครต่าง ๆ คือเป้าหมาย)


นายกหรือรองนายกอบต. เป็นผู้บริการเรื่องรถรับส่ง (มีค่าอาหารให้ด้วยหรือเปล่าไม่รู้เพราะไม่มีใครยอมบอก) โดยเฉพาะสมาชิกกองทุนฟื้นฟูมีข้อบังคับว่า ต้องไปทุกคนไม่อย่างนั้นจะถูกตัดสิทธิออกจากกองทุน โดยให้สมาชิกกองทุนลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน (ผู้ที่ลงชื่อจะได้รับการช่วยเหลือก่อน)


มีการแบ่งกลุ่มด้วยการโพกผ้าเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม และมีการขู่ว่าหากใครไม่มาเซ็นชื่อ และไม่ไปฟังนายกฯ จะถูกตัดความช่วยเหลือเพราะถือว่าเป็นคนละพวก นั่นหมายความว่า หากพรรคไทยรักไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกจะไม่ช่วยชำระหนี้ให้ และไม่ให้กู้เงินมาฟื้นฟูอาชีพ


บางกลุ่มถึงขนาดกระจายเสียงผ่านหอกระจายข่าวให้สมาชิกทุกคนคาดผ้าเหลือง นายกฯ จะได้เห็นความสามัคคี หากมีสมาชิกผู้ใดฝ่าฝืนจะไม่อนุญาตให้ไปยืนรวมกลุ่มกับเพื่อน และหากไม่เชื่ออาจจะถูกจับโยนออกมา (โอ้โฮ ดุจัง) ย้ำว่า เรื่องจริงนะ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น


ผู้เขียนก็ไปร่วมฟังกับเขาด้วย เพื่อเก็บข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง บรรยากาศวันนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งเต็มใจมา และมาเพราะกลัวไม่ได้รับการช่วยเหลือหลายพันคน เพราะกระแสของกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรแรงมากในพื้นที่ มีการเปิดรับลงทะเบียนหนี้สินและลงชื่อกู้ยืมกันอย่างไม่อั้น ใครจะกู้เท่าไร เขียนมาได้เลย (แต่ยังไม่ได้เงิน เขียนไว้เฉย ๆ)


บางกลุ่มมีสมาชิกเป็นหมื่น ๆ คน สมาชิกทุกคนจะได้ข้อมูลเหมือนกันว่า หากอยากได้เงินตามที่ลงทะเบียนไว้ ก็ต้องเลือกทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ เพราะหากทักษิณไม่ได้เป็น เรื่องที่ลงทะเบียนไว้ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือ ดังนั้นสถานการณ์จึงเหมือนกับมีการล่อลวงและหลอกให้เชื่อด้วยความหวังว่าจะได้กู้เงินอีก (เฮ้อ…อนาถใจ)


ในเมื่อประชาชนยังเข้าไม่ถึงข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง อย่างเช่นเรื่องกองทุนฟื้นฟู ที่นักการเมืองนำมาเป็นเครื่องมือปั่นกระแสกับชาวบ้าน ทั้งที่เรื่องจริงกฎหมายกองทุนฟื้นฟูมีผลบังคับใช้แล้ว ดังนั้นการช่วยเหลือ และการกู้ยืมมันต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช่ตามใจนักการเมือง และไม่ว่าใครจะมาบริหารประเทศก็ต้องทำภายใต้ที่กฎหมายกำหนด


การใช้เล่ห์เหลี่ยมมาหลอกชาวบ้านเพื่อให้พวกพ้องตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบในการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่น่าเกลียดกว่าการซื้อเสียงมาก เพราะการซื้อเสียงชาวบ้านยังได้เงิน แต่ปัจจุบันใช้วิธีสัญญาปากเปล่า แต่ใช้กระแสมาช่วยเพื่อให้ชาวบ้านหลงเชื่อ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในความรู้สึกของผู้เขียน


คนที่อาศัยความไม่รู้ของชาวบ้านเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องเป็นผู้ที่เลวร้าย มากกว่าโจรห้าร้อยเสียอีก และเรื่องที่น่าเศร้าของประชาชนเจ้าของแผ่นดินก็คือ คนที่ไม่รู้ก็ถูกหลอก คนที่พอรู้ก็ไม่มีทางเลือก เพราะผู้เลือกต้องเลือกจากผู้ที่ลงสมัครและคนที่จะลงสมัครได้ก็ต้องมีพวกพ้อง มีอิทธิพลพอสมควร


การตัดสินใจเลือกผู้แทนจึงไม่ใช่เลือกคนที่ดีที่สุด แต่กลับต้องเลือกคนที่เลวน้อยที่สุดเข้าไปเป็นตัวแทนของเรา ผลก็ออกมาอย่างที่เห็น ๆ กัน เลวคนละนิดคนละหน่อยพอไปรวมกัน (คิดเอาเองก็แล้วกันว่ามันจะเกิดอะไรก็เห็น ๆ กันอยู่ )


เฮ้อ…ในเมื่อประชาธิปไตยบ้านเรายังเป็นอย่างนี้ ใครล่ะจะช่วยได้ เพราะผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไปมีอำนาจในการบริหารประเทศ ก็ไม่เคยคิดจะพัฒนาชาวบ้านให้รู้เท่ารู้ทันนักการเมือง และรับรู้อำนาจจริง ๆ ที่มีอยู่ในมือให้เกิดประสิทธิภาพจริง ตามเจตนารมย์ของกฎหมายสูงสุดของประเทศ ปล่อยให้หน้าที่การรณรงค์ให้ชาวบ้านรู้เท่าทัน เป็นหน้าที่ของนักการเมืองภาคพลเมืองที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศ และมีงบประมาณที่จำกัดจนการทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบาก


การทำให้ประชาชนรู้จักใช้อำนาจของตนเองเพื่อประโยชน์ของตนเองยังเป็นเรื่องที่ห่างไกล คนดีจริงไม่มีสิทธิแม้แต่จะเดินเฉียดรัฐสภา


สภาพประชาธิปไตย ขายกับขอบวกกับการข่มขู่ ก็ต้องอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป