เรียนรู้สันติวิธีจากพระราชดำรัส
คอลัมน์/ชุมชน
เมื่อเกิดไฟไหม้บ้าน การนิ่งเฉยหรือสาดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ ย่อมไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำคือการสาดน้ำเข้าไป ด้วยวิธีนี้เท่านั้นไฟจึงจะดับได้ ถ้าความไม่สงบในภาคใต้เปรียบเสมือนไฟที่กำลังไหม้บ้าน สันติวิธีก็เปรียบได้กับการสาดน้ำเข้าไปดับไฟ
สันติวิธีไม่ใช่การนิ่งเฉยปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน แท้ที่จริงสันติวิธีคือทางสายกลางที่อยู่ระหว่างการนิ่งเฉยกับการใช้ความรุนแรงตอบโต้ เช่นเดียวกับที่การสาดน้ำเข้าไปดับไฟเป็นทางสายกลางที่อยู่ระหว่างการยืนดูไฟไหม้กับการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
การใช้ความรุนแรงตอบโต้นั้นมีแต่เพิ่มความรุนแรงให้มากขึ้น ยิ่งมีการอุ้ม ฆ่า และเกิดกรณีอย่าง กรือเซะและตากใบมากเท่าไร ก็เท่ากับเป็นการสาดน้ำมันเข้าไปในกองเพลิงมากเท่านั้น นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประวัติศาสตร์การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ยิ่งใช้กำลังเข้าปราบปราม คอมมิวนิสต์ก็ยิ่งเพิ่ม เพราะมีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกลูกหลงเข้าไปร่วมเป็นอันมากด้วยความคับแค้นใจ แต่เมื่อหันมาใช้แนวทางสันติตามนโยบาย ๖๖/๒๕๒๓ โดยขจัดเงื่อนไขแห่งความรุนแรง และเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์ เข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย ผลก็คือขบวนการคอมมิวนิสต์อ่อนแอลงจนต้องยุติการสู้รบด้วยกำลังอาวุธในที่สุด
คำถามก็คือ แนวทางสันติวิธีเพื่อดับไฟใต้ใน พ.ศ.นี้จะมีหน้าตาอย่างไร ? คำตอบนั้นมีอยู่อย่างชัดเจนแล้วในกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" คืออะไร หากมิใช่แนวทางสันติวิธีที่เราควรจะให้ความสำคัญเหนืออื่นใด การอ้างพระราชดำรัสดังกล่าว แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธแนวทางสันติวิธี เป็นเรื่องที่ขัดแย้งในตัวเองอย่างยิ่ง
สันติวิธีไม่ได้หมายความเพียงแค่การไม่ใช้อาวุธเข้าตอบโต้หรือจัดการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เพื่อขจัดรากเหง้าของความรุนแรง หรือเพื่อสลายกำลังของขบวนการที่ก่อความไม่สงบ รวมไปถึงการชนะใจบุคคลในขบวนการดังกล่าว จะทำเช่นนั้นได้จะต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจอย่างชัดเจนว่า อะไรคือเงื่อนไขที่ผลักดันและดึงดูดให้ผู้คนก่อความไม่สงบหรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าว เงื่อนไขนั้นมีหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือความอยุติธรรมและการไม่เคารพในความเป็นมนุษย์ของเขา พร้อมกันนั้นก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องเข้าใจวัฒนธรรมตลอดจนวิถีชีวิตและวิธีคิดของเขา ซึ่งในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับศาสนาที่เขายึดถือ
การทำความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยให้เราเข้าถึงจิตใจของเขาได้มากขึ้น แต่จะเข้าถึงจนชนะใจเขาได้ก็ต้องเริ่มจากการเข้าหาเขาด้วยความเป็นมิตร ไม่ใช่ในฐานะที่เหนือกว่าหรือมีอำนาจมากกว่า แต่เข้าหาในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความคิดของกันและกัน สิ่งที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการดังกล่าวก็คือการแลกเปลี่ยนความเห็นและปรึกษาหารือ ไม่ใช่การพูดฝ่ายเดียวหรือสั่งมาจากเบื้องบน
ปัญหาประการหนึ่งของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คือกระบวนการดังกล่าวมีน้อยมาก นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ของรัฐที่ลงมาจึงมักไม่สอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้าน และบ่อยครั้งกลับสร้างปัญหาและความไม่เข้าใจให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ถ้าจะเข้าถึงชาวบ้านอย่างแท้จริง หน่วยงานรัฐจะต้องสร้างกลไกหรือเวทีสำหรับการปรึกษาหารือร่วมกับชาวบ้าน เช่น จัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมประจำจังหวัด โดยมีผู้นำศาสนาและผู้นำชาวบ้านมาร่วมด้วย ตลอดจนมีคณะกรรมการสันติสุขในชุมชนซึ่งประกอบ ด้วยผู้แทนของชุมชนและของหน่วยงานรัฐมาทำงานร่วมกัน เป็นต้น
สิ่งสำคัญลำดับสุดท้ายก็คือการพัฒนา การพัฒนาที่มีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจในวัฒนธรรมและความเป็นจริงในท้องถิ่น โดยมีการปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐกับประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เป็นกุญแจสำคัญในการลดทอนความรุนแรงและนำความสงบกลับมาสู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกวันนี้วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวกำลังถูกบั่นทอนอย่างหนักเนื่องจากทรัพยากรสาธารณะในท้องถิ่น (เช่น สัตว์น้ำ และป่า) ถูกคุกคามจากนายทุนและอิทธิพลท้องถิ่น นโยบายการพัฒนาที่อัดฉีดเงินเข้าไปในหมู่บ้านแต่ปล่อยให้ทรัพยากรสาธารณะ
ถูกทำลายย่อมไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม นอกจากการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องมีควบคู่กันก็คือการพัฒนากระบวนการยุติธรรม กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดจนกระบวนการทางการเมือง หากขาดการพัฒนากระบวนการดังกล่าวอย่างจริงจังแล้ว สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยากจะมีความสงบอย่างยั่งยืนได้ เนื่องจากผู้คนจะเต็มไปด้วยความคับแค้นใจที่ถูกละเมิดสิทธิ ไม่ได้รับความยุติธรรมจากรัฐ และขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ
"เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" นั้นสามารถทำให้เป็นจริงได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ และไม่ได้อาศัยงบประมาณมหาศาล สิ่งที่ต้องการคือ สติปัญญา ความจริงใจ ความใจกว้าง ความกล้าหาญ รวมทั้งความเสียสละ สิ่งเหล่านี้ทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธ แต่หากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว แม้มีกองทัพมหาศาล มีอาวุธทำลายล้างสูงเพียงใดก็ตาม ก็ยากที่จะนำชัยชนะและความสงบสุขกลับคืนมาได้
ตรงกันข้าม มันกลับกลายเป็นการฉีดน้ำมันจำนวนมหาศาลเข้าใส่กองเพลิงนั่นเอง
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกใน นสพ.โพสต์ทูเดย์