เด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันจากควันบุหรี่
คอลัมน์/ชุมชน
วันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2548 เป็นวันที่กระทรวงสาธารณสุขห้ามตั้งบุหรี่ ณ จุดขาย คาดว่ามาตรการนี้สามารถป้องกันเยาวชนที่กำลังเริ่มสูบบุหรี่จำนวน 150,000 คนให้หยุดพฤติกรรมสูบบุหรี่ได้ ยังมีเยาวชนอีก 150,000 คนที่ติดบุหรี่ไปแล้ว กลุ่มนี้ให้รอมาตรการขึ้นภาษีและบำบัดรักษา งานวิจัยต่างประเทศชี้ว่า มาตรการหยุดสูบบุหรี่ที่ไม่ได้ผลคือการรณรงค์ให้ประชาชนเห็นพิษภัยของบุหรี่ บริษัทผลิตบุหรี่ก็ทราบว่ามาตรการนี้ไม่ได้ผลจึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับการรณรงค์ต่างๆนานาที่เคยทำๆ กันมา นอกจากไม่เดือดเนื้อร้อนใจยังแอบยิ้มอยู่หลังเวที มิหนำซ้ำยังปันผลกำไรจากการขายบุหรี่ส่วนหนึ่งให้แก่กลุ่มรณรงค์ด้วยซ้ำไป นัยว่าแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม งานวิจัยต่างประเทศชี้ว่ามาตรการที่ได้ผลคือหยุดการโฆษณา ที่เห็นชัดคือป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ตามถนนและสนามกีฬา ปรากฏว่าบริษัทผลิตบุหรี่เดือดเนื้อร้อนใจกับมาตรการนี้มากจึงพยายามหยุดยั้งมาตรการนี้มาโดยตลอด เมื่อหยุดไม่ได้ก็ใช้วิธีส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมทำให้เราได้เห็นโลโก้บุหรี่ติดมากับโปสเตอร์งานแสดงภาพวาดหรือศิลปกรรมต่างๆ นานาอยู่เป็นระยะๆ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ "สรุปบทเรียน" ได้ว่า บริษัทบุหรี่จะเต้นเมื่อมาตรการนั้นจะมีผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่ บริษัทบุหรี่จะเฉยเมื่อมาตรการนั้น "เฉย ๆ" การสรุปบทเรียนเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดสำหรับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรทั้งหลาย การต่อสู้เพื่อคนเสียโอกาส คนที่รู้ไม่เท่าทัน คนชายขอบล้วนเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีใครทราบว่ายุทธวิธีไหนเหมาะสมที่สุด เพราะฉะนั้นการสรุปบทเรียนจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำตลอดเวลาเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่และยุทธวิธีใหม่ ปรากฏว่ามาตรการห้ามตั้งบุหรี่ ณ จุดขายน่าจะส่งผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่อย่างรุนแรง เพราะบริษัทบุหรี่เต้นมาก พยายามทุกวิถีทางที่จะต่อรอง ซื้อเวลา และเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อล้มมาตรการนี้ลงให้จงได้ แม้ว่าจะผ่านวันที่ 24 กันยายน 2548 มาแล้วก็ตาม
ณ ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขขอให้ร้านค้าทุกแห่งไม่ตั้งบุหรี่ ณ จุดขาย ระหว่างที่รอกฤษฎีกาตีความว่ามาตรการนี้ชอบด้วยกฎหมายควบคุมบุหรี่หรือไม่ ทั้งนี้ โดยมีเครือข่ายพ่อแม่และนักเรียนนักศึกษาบางส่วนแสดงตัวสนับสนุน
| ขณะเดียวกันบริษัทบุหรี่ทั้งไทยและต่างชาติแสดงความเห็นด้วยว่า ร้านค้าสามารถตั้งบุหรี่ ณ จุดขายไปก่อนจนกว่ากฤษฎีกาจะตีความ ทั้งนี้โดยมีนักกฎหมายบางส่วนแสดงตัวสนับสนุน สิ่งที่นักกฎหมายชอบใช้นักคือ "ประเทศไทยเป็นนิติรัฐ" และ "บ้านเมืองจะเรียบร้อยต้องเคร่งครัดกับกฎหมาย" เป็นคำกล่าวอ้างที่ผมได้ยินได้ฟังมาจากทุกที่ประชุมเวลาใครกลุ่มหนึ่งต้องการเอารัดเอาเปรียบใครอีกกลุ่มหนึ่งเป็นได้ใช้วลีสองอย่างนี้เสมอ บางครั้งเป็นนักกฎหมายใช้เอง บางครั้งเป็นผู้มีอำนาจใช้โดยอ้างว่าไปเรียนนิติศาสตร์จบมาแล้ว หลายครั้งที่ผมคิดในใจว่าไปเรียนกฎหมายมาแล้วกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่มีจิตใจสาธารณะเช่นนี้ ชาตินี้ผมไม่ไปเรียนกฎหมายดีกว่า พอถึงเวลาจะละเมิดกฎหมายกันเองก็จะงัดเอาคำว่า "พิจารณาตามหลักรัฐศาสตร์" มาใช้เป็นประจำทุกครั้งไป เช่นนี้แล้วป่วยการที่จะคุยกัน บริษัทบุหรี่อ้างว่ามาตรการนี้จะทำให้บุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้น แต่ที่บริษัทบุหรี่ไม่พูดคือแท้จริงแล้วมีงานวิจัยจากนานาชาติทั่วโลกบ่งว่าจะมีบุหรี่เถื่อนหรือไม่ขึ้นกับระดับการคอรัปชั่นของประเทศนั้นๆ ไม่ขึ้นกับอุปสงค์อุปทาน เพราะฉะนั้นเรื่องบุหรี่นี้ความจริงมีเพียงสั้นๆ ว่าควันบุหรี่ทำลายสุขภาพของผู้สูบและผู้ที่สูดควันเข้าไปอย่างรุนแรงแม้ว่าจะไม่ได้สูบเอง ไม่ป่วยเรื้อรังก็ป่วยด้วยมะเร็งถึงตาย เมื่อก่อนเราไม่รู้ก็ไม่ว่าอะไร ตอนนี้รู้แล้วว่าบุหรี่มีสารก่อมะเร็งนับร้อยชนิดไม่เฉพาะมะเร็งปอด เช่นนี้แล้วประเด็นคือเราต้องป้องกันเยาวชนไม่ให้ได้รับควันบุหรี่ เด็กๆ มีสิทธิได้รับการป้องกันจากควันบุหรี่ ผมคิดว่าผมมีสิทธิพูดถึงอันตรายจากบุหรี่ได้เต็มที่เพราะเป็นคนหนึ่งที่รักษาผู้ป่วยโรคปอดด้วยบุหรี่นับพันคนก่อนที่จะผันตัวมาเรียนจิตเวชศาสตร์
|