อย่าทำลายความไว้วางใจที่ได้มาด้วยชีวิต
คอลัมน์/ชุมชน
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังจากเกิดเหตุสังหารนาวิกโยธินที่บ้านตันหยงลิมอ พ.ต.ท. ถ้ามองจากมุมของแกนนำผู้ก่อความไม่สงบแล้ว สิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรีอยากเห็นนั้นแหละเป็นสิ่งเดียวกับที่พวกเขาต้องการให้เกิดขึ้น คนเหล่านั้นต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงแย่งชิงตัวประกันออกมา เพราะจะได้เกิดการปะทะกับประชาชนนับร้อย แน่นอนว่าถ้าทำเช่นนั้นจะต้องมีผู้หญิงและเด็กบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก และจะเป็นข่าวดังไปทั่วโลกไม่น้อยไปกว่ากรณีตากใบ โดยที่การทำเช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า ตัวประกันทั้งสองจะรอดชีวิตออกมาได้ เพราะอาจถูกสังหารก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือทันเวลา สิ่งที่แกนนำผู้ก่อความไม่สงบคงนึกไม่ถึงก็คือ ผู้เจรจาและเจ้าหน้าที่รัฐยอมตามข้อเรียกร้องของเขามาตลอด เริ่มตั้งแต่ยอมเจรจาตอนเช้าแทนที่จะเป็นค่ำคืนก่อนหน้านั้น และยอมพาผู้สื่อข่าวมาทำข่าว ครั้นพวกเขาเรียกร้องให้นำผู้สื่อข่าวต่างประเทศมา ก็ได้รับการตอบสนองอีก และเมื่อขอให้นำผู้สื่อข่าวมาเลเซียมา ทางการก็รีบนำเฮลิคอปเตอร์ไปรับนักข่าวมาในบ่ายวันนั้น เมื่อรู้ว่าไม่สามารถยั่วยุเจ้าหน้าที่รัฐให้ใช้กำลังแย่งชิงตัวประกัน ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถถ่วงเวลาให้ยืดเยื้อไปถึงค่ำได้ พวกเขาจึงตัดสินใจฆ่าตัวประกัน คงไม่ใช่เพื่อแก้แค้นเท่านั้น สิ่งที่เขาอยากจะเห็นคือสร้างความโกรธแค้นพยาบาทให้แก่รัฐบาล (และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ) เพื่อนำไปสู่การใช้ความรุนแรงกับประชาชนสามจังหวัดภาคใต้อย่างเหวี่ยงแหจนเดือดร้อนถึงผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย ท่านนายกรัฐมนตรีอาจไม่พอใจเจ้าหน้าที่ผู้เจรจาที่ใช้ความอะลุ้มอล่วยกับชาวบ้านที่จับนาวิกโยธินเป็นตัวประกัน แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มความเป็นไปได้ของเหตุการณ์แล้ว น่าสงสัยว่ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือที่จะก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ประเทศชาติน้อยกว่าที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในวันนั้น การสูญเสียนาวิกโยธินทั้งสองนับเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของครอบครัว กองทัพและของชาติ แต่ในท่ามกลางความสูญเสียดังกล่าว เจ้าหน้าที่รัฐก็ได้รับความเห็นอกเห็นใจอย่างไม่เคยมีมาก่อนจากประชาชนทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้กระทั่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวได้ว่าในรอบสองปีนับแต่การปล้นปืนจากค่ายทหารที่นราธิวาสนี้ ไม่เคยมีครั้งใดที่ประชาชนให้ความเห็นใจแก่เจ้าหน้าที่รัฐมาก เท่าไรก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนไว้วางใจได้อย่างเต็มที่ แต่บัดนี้ความเห็นใจเจ้าหน้าที่รัฐได้เกิดขึ้นแล้ว นี้ใช่ไหมคือชัยชนะทางการเมืองที่รัฐบาลรอมานาน ไม่มีใครปฏิเสธว่าความเห็นใจดังกล่าวรัฐได้มาด้วยราคาที่แพงมาก ด้วยเหตุที่ได้มาด้วยราคาแพงนี้เอง รัฐบาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาความเห็นใจที่ประชาชนมอบให้ในครั้งนี้ให้คงอยู่ต่อไป และนำความเห็นใจนี้มาเป็นทุนในการสร้างความไว้วางใจในเจ้าหน้าที่รัฐให้เกิดขึ้นให้ได้ ความเห็นใจและความไว้วางใจนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยพระเดช หากด้วยพระคุณ (เพราะเหตุนี้ใช่ไหมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเน้นเสมอให้รัฐยึดหลัก "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา") สิ่งที่รัฐบาลควรทำมากที่สุดตอนนี้จึงได้แก่การเร่งนำเอานโยบายที่ส่งเสริมความยุติธรรม การพัฒนา และการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้าไปให้ทั่วถึงเพราะเป็นโอกาสที่ประชาชนจะให้การตอบรับด้วยดี อันจะนำไปสู่ความไว้วางใจกันมากขึ้น ในทางตรงข้าม การพยายามผลักดันนโยบายที่ก้าวร้าวรุนแรงด้วยอารมณ์โกรธในช่วงที่ประชาชนมีความเห็นใจเจ้าหน้าที่รัฐ (และรัฐบาล) มีแต่จะทำให้ความเห็นใจนั้นลดลง และถอยกลับไปสู่ความหวาดระแวงและเกลียดชังอีก เพราะนโยบายดังกล่าวมักลงเอยด้วยการทำร้ายผู้บริสุทธิ์มากกว่าที่จะกำจัด "โจร" ตัวจริง รัฐบาลจะต้องหลีกเลี่ยงการฉวยโอกาสหรือใช้ความเห็นใจที่ประชาชนมอบให้ไปในทางที่ผิด ต้องไม่ลืมว่าความเห็นใจครั้งนี้รัฐได้มาด้วยราคาแพง ดังนั้น รัฐจึงมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาและทำให้ความเห็นใจดังกล่าวเพิ่มพูนมากขึ้น มิใช่เอามาใช้ให้หมดไปเพียงเพื่อหวังผลระยะสั้น นี้มิใช่หน้าที่ทางการเมืองเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ทางศีลธรรมด้วย เพราะนาวิกโยธินทั้งสองยอมเสี่ยงชีวิตเพราะมุ่งหวังความสงบสุขในบ้านเมือง เราผู้ยังอยู่จึงมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้การเสียสละชีวิตของเขาเป็นไปในทางที่ส่งเสริมความสงบสุข มิใช่นำไปสู่การสู้รบฆ่าฟันกันมากขึ้นอีก เราต้องไม่ลืมว่าความหวาดระแวงและไม่ไว้วางใจในเจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีสูงมากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความรู้สึกดังกล่าวฝังลึกมานานและปลุกได้ง่ายมากด้วยคนเพียงไม่กี่คน การจะเปลี่ยนความหวาดระแวงเกลียดกลัวให้กลายเป็นความไว้วางใจนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ภายในปีสองปี แต่จะต้องใช้ความอดทนและระยะเวลาที่ยาวนาน ยิ่งกว่านั้นอาจต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนดี ๆ อีกหลายคน ของที่มีน้อยและหายากมักต้องแลกมาด้วยราคาแพงเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพราะเราปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ดี เท่าครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ประชาชนให้ความเห็นใจเจ้าหน้าที่รัฐก็เพราะนาวิกโยธินทั้งสองเป็นผู้ที่ทำงานเพื่อชุมชน ช่วยเหลือชาวบ้านมาโดยตลอด มีพระคุณยิ่งกว่าพระเดช เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่บ้านตันหยงลิมอ ทั้งสองได้เข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุโดยไม่หวั่นเกรงอันตราย ครั้นถูกชาวบ้านรุมล้อมก็ยอมให้จับ ไม่ทำการต่อสู้ทั้ง ๆ ที่มีอาวุธอยู่ในรถ ความเห็นใจนั้นยังเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ทุกส่วนใช้ความนุ่มนวลในการแก้ปัญหาตัวประกัน แน่นอนว่าหากนาวิกโยธินทั้งสองและเจ้าหน้าที่ที่ประจันหน้ากับฝูงชนใช้วิธีการตรงกันข้าม จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาทั้งสองฝ่าย ความเห็นอกเห็นใจย่อมเกิดขึ้นได้ยาก หรือถึงจะมีก็ถูกกลบด้วยเสียงประณามจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นเวลานานมาแล้วที่เจ้าหน้าที่รัฐถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวงและเกลียดกลัวจากคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความรู้สึกดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดหรือเกิดจากข่าวลือเท่านั้น แต่ยังมีข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ รองรับ ซึ่งตอกย้ำความอยุติธรรมและความเจ็บช้ำน้ำใจให้เกิดกับประชาชน แม้ไม่ต้องพูดถึงกรณีตากใบหรือการอุ้มทนายสมชายเลยก็ยังได้ ความรู้สึกระแวงดังกล่าวได้ปลูกฝังอคติในหมู่ประชาชนจนเกิดความเชื่ออย่างฝังใจว่าเหตุร้ายส่วนใหญ่ในสามจังหวัดภาคใต้เกิดจากน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะแทบไม่เคยมีการจับตัวคนร้ายได้เลย ดังนั้น เมื่อชาวบ้านตันหยงลิมอถูกกราดยิงด้วยปืนจนตายสามคนและบาดเจ็บอีกสามคนในคืนวันที่ ๒๐ กันยายน การยุยงของคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นก็สามารถทำให้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเชื่อว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ และนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้นาวิกโยธินทั้งสองถูกจับกุมและรับเคราะห์ไปในที่สุด นาวิกโยธินทั้งสองคือ เหยื่อรายล่าสุดของความระแวงและไม่ไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ แต่แล้วการที่คนทั้งสองถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมก็ได้เปลี่ยนความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยให้คลายอคติลง และมีความเห็นใจเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น (ตรงกันข้ามกับชาวบ้านตันหยงลิมอซึ่งแม้มีเพื่อนบ้านถูกสังหารถึงสามคนในคืนก่อนหน้านั้น แต่กลับไม่ได้รับความเห็นใจจากคนทั่วไปเลย เนื่องจากใช้วิธีการอันมิชอบอันเป็นผลให้นาวิกโยธินทั้งสองถูกฆ่า) การที่ประชาชนให้ความเห็นใจเจ้าหน้าที่รัฐอย่างมากมายนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ก่อความไม่สงบอยากเห็นน้อยที่สุด และนี้คือสิ่งที่รัฐบาลประสบความล้มเหลวมากที่สุดในรอบสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่ารัฐบาลจะทุ่มเงินและคนไป มาสร้างปัญหาสะสมในพื้นที่มาเป็นเวลาช้านาน คนดีจึงต้องพลอยมารับเคราะห์จากความเลวร้ายที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้ ถ้าไม่อยากให้คนดีต้องตายอีก รัฐบาลจะต้องหาทางป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ดีมาสร้างปัญหา ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมจะจัดการกับคนไม่ดีเหล่านั้นด้วยความเด็ดขาด มิใช่ปล่อยให้ลอยนวล โดยคิดแต่จะใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้เป็นเสนาบดีคู่ใจของพระปิยมหาราชเคยกล่าวไว้ว่า "อำนาจอยู่ที่ราษฎรเชื่อถือ ไม่ใช่อยู่ที่พระราชแสงศาสตรา" ข้อคิดดังกล่าวเหมาะอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลในยามนี้ ก่อนที่จะลงมือใช้ศาสตราวุธ รัฐบาลควรไตร่ตรองดูว่าได้พยายามเต็มที่แล้วหรือยังเพื่อให้ราษฎรเชื่อถือและไว้วางใจ นาวิกโยธินทั้งสองได้อุทิศชีวิตเพื่อการนี้มาแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องระดมกำลังสร้างสานต่อภารกิจดังกล่าวให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างจริงจังเพื่อความสงบสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง คุณธรรมความดีเท่านั้นที่สามารถชนะใจผู้คน มิใช่กำปั้นหรือกระบอกปืน หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรกใน นสพ.มติชน |