Skip to main content

"เราจะนอนมองฟ้าด้วยกันตลอดไป"

คอลัมน์/ชุมชน


By…..น้ำตาฟ้า


 


 


 


ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ มาดเก๋  บ้างเท่ห์สะดุดตา   หรือแม้แต่สาวผอมบาง รวมทั้งน้องนางช่างฝันที่ล้วนมีชื่อต้องกันว่า  หนังสือ   ต่างแข่งกัน ขยิบตาให้ฉันอย่างน่าเอ็นดู  คล้ายจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า  อยากถูกเลือกให้เป็นคนส่งฉันเข้านอนคืนนี้ 


 


"ใจเย็นจ้ะ  ได้ทุกคน"   ฉันบอกอย่างอารมณ์ดี   พลางเอื้อมมือไปหยิบสาวน้อยสวมชุดที่คาดไปด้วยท้องฟ้าใสและปุยเมฆงามด้วยต้นหญ้าเขียวขจีมาพิจารณา  เพียงอึดใจเดียว  "เราจะนอนมองฟ้าด้วยกันอีกครั้ง"  สาวน้อยที่ท่าทางโรแมนตกน่าค้นหาก็เป็นผู้ที่จะพาฉันเข้านอนคืนนี้ 


 


 


เพียงเปิดเจอคำนำผู้เขียน  "สุรักษ์ สุขเสวี"   หนังสือเล่มนี้ๆ ไม่ใช่ขี้ๆ แล้ว ฉันคิด  ก็พ่อเจ้าประคุณเล่นบอกเอาไว้ท้ายคำนำ   " แอบคิดเล่น ๆ ว่าผมน่าจะได้  S. E. A  Write Award  จากการเขียนครั้งนี้ ถ้าเพียงแต่ตัว


S          หมายถึง Sensitive 


E          หมายถึง  Emotion 


A          หมายถึง A Lot of Stories   


 


นี่ไง นิยามของความโรแมนติกที่ถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงผ่านปลายปากกาของเขา    ซึ่งพอมาเป็นหนังสือเล่มน้อยที่บอกเล่าจินตนาการ แรงบันดาลใจ ที่มาของ 24 บทเพลง ที่ไม่ว่าฟังเมื่อไหร่ก็กระชากใจฉันได้ทุกคราวไปสิน่า    


 


เพลงคู่แท้   ซึ่งฉันจี๊ดในมุมหัวใจว่าช่างบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของฉันได้ดีแท้    


"ถ้าเราต่างไม่หันมามอง พลาดทุกอย่างเพียงเสี้ยวนาที  ถ้าไม่ถูกขีดไว้ให้เป็นอย่างนี้   เราจะหันมาเจอะกันได้ไหม"   


 


บ่อยครั้งที่ฉันเจอใครแล้วรู้สึกคุ้นหน้า คล้ายกับว่าเคยเจอกันมาก่อน  แต่มีไม่กี่ครั้งที่เจอใครแล้วฉันรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเกิดมาเพื่อเป็นคนสำคัญในชีวิตของฉันจริง ๆ      ไม่ใช่ใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราแล้วจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ยาวนานได้ทุกคนหรอก


 


เปล่า  ฉันมิได้หมายถึง คู่รัก แต่อย่างใด  คู่แท้ ของฉันคือน้ำมิตรของสหาย  ที่กว่าจะได้ยาวนานและยั่งยืนเฉกเช่นที่เป็นอยู่ก็ไม่ง่ายเลย  บริบทต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งสุข ทุกข์ ร้อน หนาว แต่เพื่อนสองคน อัครัตน์  และ ทรงฉม  ต่างคอยหยิบยื่นน้ำมิตร เยียวยาความทุกข์ร้อน   บำบัดความเจ็บปวด  และพร้อมจะยินดีกว่าหากตัวฉันจะมีสุขมากเท่าที่คนเป็นเพื่อนจะพึงมีต่อกันได้    ส่งให้ฉันคล้อยตามความเชื่อของผู้เขียนที่บอกเอาไว้ว่า     "ผมให้ความสำคัญกับจังหวะชีวิตเป็นวินาที"  


 


หาก 10 กว่าปีที่ผ่านมา  ฉันไม่เลือกที่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมแห่งนั้น  เราสามคนจะไปเป็นเพื่อนใครกันหนอ      หากฉันไม่ทะเลาะกับพ่อจนหนีออกจากบ้าน  ฉันจะยิ่งได้ใจเพื่อนขนาดนี้ไหมเล่า  จะ ใช่อัครัตน์หรือเปล่าที่ถอดสร้อยคอทองคำต่อหน้าต่อตา เพื่อให้ฉันมีเงินเป็นค่าเทอมไหมนะ  ใครกันจะเป็นไอ้ผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ที่ต้องแบกโทรทัศน์เครื่องเบ้อเริ่มเดินท่อม ๆ เข้าโรงรับจำนำเพื่อให้เพื่อนได้มีเงินเรียนหนังสือ    แล้วมันอายไหมหว่า       เหล่านี้คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลง  


 


ฉันไม่เคยเสียใจแต่อย่างใดกับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต  ตรงกันข้าม ฉันกลับรู้สึกว่ายิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมามากมายเท่าไหร่   มิตรภาพของสามเราก็แน่นแฟ้น สวยงามยิ่งขึ้น    นับวันหยั่งรากฝังลึกลงไปในหัวใจของพวกเราจนหานิยามไดไม่ได้แล้ว   "ฉันเป็นของ ของเธอ  คู่แท้ที่หากันเจอ  ไม่ว่าครั้งไหน  ไม่ว่าชาติไหน"


 


หากเรื่องราวของชีวิตเป็นเช่นบทเพลงก็ดีสิ     แม้เบื้องหลังบทเพลงอกหักรักคุดเหล่านั้นจะโศก สลด รันทดเพียงใด  หากก็นำมาซึ่งอารมณ์ซาบซึ้ง  หวาน ซ่านละมุนของคนฟัง    บ้างเป็นกำลังใจให้ฮึดสู้  บ้างก็เป็นเพื่อนปลอบประโลมในยามอ่อนล้า   บ้างก็นำมาซึ่งจังหวะใหม่ของชีวิต    


 


"เราจะนอนมองฟ้าด้วยกันอีกครั้ง 


 เราจะมองดูเมฆที่ลอยล่องไป


 เราจะเอนเอาหลังพิงกัน


มองดูความแปรผันของฟ้า.....และหัวใจ


เมื่อวันที่ความเป็นจริงในชีวิต คืบคลานมา


พาความเยาว์วัยผ่านไปช้า ๆ 


สุดท้ายก็คงจะมาถึงวันที่เราต่างคนต้องไป"  


 


 เพลงนี้   "เราจะนอนมองฟ้าด้วยกันอีกครั้ง"    สุรักษ์   เขียนขึ้นจากเรื่องราวของเขาและคนข้างเคียง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปด้วยความเข้าใจในเดือนธันวาคมของปีหนึ่ง


 


หากแต่สำหรับสามเรา ฉัน ทรงฉม อัครัตน์   ไม่มีเสียล่ะที่ความเป็นจริงในชีวิตจะสามารถพรากความเยาว์วัยไปจากพวกเราได้ไม่ว่าช้าหรือเร็ว    เพราะพวกเรา  "จะนอนมองฟ้าด้วยกันตลอดไป"


 


อืมม์  ไม่ผิดหวังจริง ๆ ที่เลือกสาวน้อยโรแมนติกเล่มนี้ส่งฉันเข้านอน