ชาวนาคนสุดท้าย : น้องชาย
คอลัมน์/ชุมชน
" พี่จะกลับมาบ้านอีกเมื่อไหร่ " น้องชายถามผม เรานั่งกินเบียร์ด้วยกันที่ห้องโถงชั้นล่าง
" ไม่รู้สิ แต่ปีนี้พี่จะกลับมางานลอยกระทงที่บ้าน " เบียร์หมดไปหกขวดแล้ว น้องชายผมกินเบียร์ยี่ห้อม้าแดง ส่วนผมชอบเบียร์ช้างมากกว่า ตอนนี้มีเพียงเราสองคนตั้งวงด้วยกัน บรรดาลุงป้าอาอาวญาติพี่น้องที่มาช่วยงานบายศรีสู่ขวัญแยกย้ายกันกลับบ้านไปหมดแล้ว หลังจากเสร็จพิธีกินข้าวเที่ยงและช่วยกันเก็บกวาดเรียบร้อย บางคนไปดูสภาพน้ำท่วมนา ปีนี้ก็เหมือนเดิม ท่วมซ้ำซาก บางคนเตรียมตัวไปยกยอหาปลาที่มาพร้อมกับสายน้ำหลากเอ่อล้นฝั่ง
" ออกพรรษาไม่กลับบ้านเหรอ " น้องชายถามอีก
" เมื่อไหร่ล่ะ พี่ขอน้ำแข็งหน่อย " ผมยื่นแก้วให้
" 19 ตุลานี้ไงออกพรรษา " น้องชายยื่นแก้วใส่น้ำแข็งกลับคืนมา ตามด้วยเบียร์ขวดใหม่
" คงไม่ได้มาหรอก พี่ต้องทำงาน " น้องชายเงียบ ผมรินเบียร์เติมเต็มแก้ว
" เจี๊ยบจะไปทำงานเกาหลีใต้เหรอ อาคำบอกพี่ " ผมเอ่ยถาม
" ไม่รู้จะได้ไปหรือเปล่านะพี่ " เหมือนไม่แน่ใจ
เรายกเบียร์พร้อมกัน รินเบียร์เติมใหม่ เปลี่ยนเรื่องคุย
ครั้งนี้ผมกลับบ้านเพื่อมาร่วมงานสู่ขวัญให้เจี๊ยบกับต่าย วันนี้น้องผิงผิงหลานสาวคนล่าสุดของตระกูลเรามีอายุครบหนึ่งเดือนถือเป็นวันออกเดือนของต่ายพวกเราจึงต้องจัดงานบายศรีสู่ขวัญมัดมือให้ รวมถึงเดือนกับน้องที่ช่วยซักผ้าของต่ายที่เปื้อนเลือดเมื่อตอนคลอดอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดด้วย
เจี๊ยบ น้องชายผมอายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนเล็กของอาคำผู้เป็นน้องคนสุดท้องของแม่ผม ต่ายเป็นสะใภ้ใหม่หมาด เขาทั้งคู่พบเจอกันที่ประเทศสิงคโปร์ ต่ายทำงานเป็นลูกจ้างขายของอยู่ที่นั่นนานนับสิบปี ส่วนเจี๊ยบเป็นคนงานในอู่ต่อเรือ
เมื่อต่ายตั้งท้องเจี๊ยบก็พามาแนะนำให้พวกเรารับรู้ เราจัดพิธีสู่ขวัญเป็นการต้อนรับสะใภ้คนใหม่และหลานคนใหม่ที่อยู่ในท้อง ผมจำได้ว่าพวกเขากลับมาบ้านไม่นานนักยายก็เสียชีวิตลง อาคำบอกผมว่ายายมาเกิดเป็นหลานสาวคนนี้
ผมออกจะภูมิใจกับการได้หลานน้อยคนนี้ไม่น้อย นอกจากจะเป็นญาติกันแล้ว ประการสำคัญผมเป็นคนตั้งชื่อให้หลานคนใหม่เอง ต่ายตั้งชื่อเล่นว่า ผิงผิง เพราะต่ายมีเชื้อสายคนจีน ผมรับเป็นคนตั้งชื่อจริงตามคำขอของเจี๊ยบ
ปิยนารถ ผมเอาชื่อจริงของต่ายกับเจี๊ยบมาผสมกัน ปิยพร กับ ภูวนารท
พวกเขาวางแผนการกันเอาไว้ว่าหลังจากต่ายคลอดลูกแล้วสักระยะหนึ่งก็จะกลับไปทำงานรับจ้างต่างประเทศอีก อยู่บ้านเราไม่พ้นทำนาทำสวน ยากจนเข้าดินเข้าหญ้าไม่มีอะไรดีขึ้นมา ส่วนน้องผิงผิงอาคำเป็นคนเลี้ยงแทน
เจี๊ยบเป็นกำลังหลักในการหาเงินเข้าครอบครัว หลังจากที่พ่อเขาซึ่งผมเรียกว่าอาวน้อยเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมีนาคมปีที่ผ่านมา อาวน้อยเคยไปทำงานที่เดียวกันกับเจี๊ยบตามคำชักชวนจากน้องชายอาวน้อยที่ไปบุกเบิกเส้นทางเอาไว้ก่อนแล้ว แต่อาวน้อยทำงานได้ไม่นานนักก็ต้องกลับมาเนื่องจากล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง และเสียชีวิตไปในท้ายที่สุด
ผมเกิดมาในตระกูลชาวนา มีเพียงผมกับพี่ชายอีกสองคนเท่านั้นที่มีโอกาสเรียนสูงกว่าคนอื่น ส่วนน้องๆ พวกเราที่เหลือก็เหมือนกับผู้ชายส่วนใหญ่ในหมู่บ้านเรา ออกไปขายแรงงานต่างแดน
น้องชายของผมอีกสองคน สัญญา กับ เอก ลูกอาวหวิงกับอาวหมานตอนนี้อยู่ที่ประเทศไต้หวัน ส่งเงินกลับบ้านเดือนละหมื่นกว่าบาทให้พ่อแม่ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง ( แว่วมาว่าเอกเอาเมียใหม่เป็นคนอีสาน ส่วนสัญญาได้เมียคนที่สองมีลูกติดเป็นคนอีสานเช่นกัน )
เอกกับสัญญารวมถึงหลายคนในหมู่บ้านไปทำงานที่ประเทศไต้หวันเกินระยะเวลาที่ทางโน้นกำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาจึงต้องทำการเปลี่ยนชื่อ นามสกุลใหม่ กลายเป็นคนใหม่ ทำพาสปอตใหม่ใช้สิทธิไปทำงานไต้หวันอีกครั้งหนึ่ง เรื่องนี้บริษัทนายหน้าหางานเป็นคนวิ่งเต้นจัดการให้
" บ่มีใครใช้นามสกุลของอุ๊ยแล้วนะ" พ่ออุ๊ยเหลาบอกผมหลังจากเสร็จพิธีสู่ขวัญ
" ทำไมล่ะอุ๊ย " ผมถามพ่ออุ๊ยผู้เป็นคนทำพิธีสู่ขวัญ และนับกันเป็นญาติเพราะอุ๊ยเหลาเป็นพ่อของเจี๊ยบ
" เปลี่ยนไปทำงานไต้หวันนะสิ " พ่ออุ๊ยตอบ เสียงแผ่วเบา
" เปลี่ยนหมดเลยเหรออุ๊ย " ผมจ้องมองดวงตาคนเฒ่า
" ก็ทั้งไอ้ลง ไอ้เลียง ไอ้ลัย " พ่ออุ๊ยเหลาถึงลูกชายสามคนที่เปลี่ยนชื่อ นามสกุลกันทั้งหมด
" เขาเปลี่ยนกลับมานามสกุลได้มั้ยอุ๊ย " ผมถามแบบไม่แน่ใจ
" ไม่รู้สิ อุ๊ยบ่ฮู้ " พ่ออุ๊ยตอบเสียงแผ่วเบา เบากว่าลมหายใจ
" อา เจี๊ยบมันจะไปสิงคโปร์เมื่อได " ผมถามอาคำตอนที่ไปเยี่ยมน้องผิงผิงเมื่อตอนเช้าก่อนเริ่มพิธี
" มันจะไปเกาหลีใต้แทน " อาตอบทันที
" อ้าว ทำไมล่ะอา " ผมแปลกใจเพราะตกลงกันว่าผมจะช่วยจองตั๋วเครื่องบินราคาถูกให้น้องชายไปสิงคโปร์
" น้องมันบอกว่างานเสี่ยงเกินไป ตามแขนขามันมีแต่รอยแผลเป็นจากสะเก็ดไฟ " อาเล่าคำต่อว่างานของเจี๊ยบคือช่างเชื่อมโลหะ น้องมันบ่นให้ฟังว่าถึงจะใส่เสื้อผ้ารัดกุมแล้วแต่สะเก็ดไฟจากงานเชื่อมก็ตกใส่และไหม้ผิวหนัง แถมยังต้องสูดดมกลิ่นเหม็นอีกต่างหาก มันคงทำงานได้อีกไม่นานนักถ้าอยู่ต่อ ไหนยังจะต้องทนรับคำดุด่าว่ากล่าวของอาวเลียงน้องชายอาวน้อยอีก ไม่พอใจอะไรก็ลงที่หลาน ถ้าไปทำงานอย่างอื่นที่สิงคโปร์เจี๊ยบมันก็ไม่กล้าสู้หน้าอาวเลียง เพราะยังไงเสียเขาก็เป็นคนพาไปทำงานตั้งแต่แรก
" เกาหลีใต้ได้เงินเดือนเท่าไหร่อา " ผมรู้ว่าพวกเขาตัดสินใจกันแล้ว
" สี่หมื่นกว่าบาท ดีกว่าสิงคโปร์ "
" นายหน้าเขาเอาเท่าไหร่ " ผมถามอาถึงค่านายหน้าจัดหาคนงาน
" สองแสนสาม " นายหน้าจะหักจากเงินเดือนที่ออก
" เยอะจัง " ผมอุทาน
" ไปถูกกฎหมายมั้ย " ผมน่าจะรู้ดีว่าลองได้จ่ายค่านายแหน้าแล้วมันคงไม่เป็นอย่างที่ผมถามแน่
" ไปจ้อบ " อาคำหมายความถึงเข้าประเทศเกาหลีใต้โดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว แล้วแอบไปหางานทำตามโรงงาน
" แล้วถ้าจะกลับบ้านล่ะอา " ผมนึกห่วงน้องชาย
" ก็เข้ามอบตัวสถานทูต แล้วเขาส่งกลับประเทศ " อาตอบแบบรู้ชะตากรรมของลูกชายและลูกสะใภ้
" เขาเคยทำกันอย่างนี้เหรอ " ผมรู้สึกหนาวสะท้าน แต่ก็เบาใจได้ว่าน้องชายได้กลับบ้านมาแน่
" ทำไมไม่ไปแบบถูกฎหมายล่ะ " ผมถามเผื่อมีทางอื่นที่ดีกว่า
" ใช้เวลา 2 3 ปีกว่าจะได้ไป ต้องไปฝึกภาษาอีก เงินเดือนก็น้อยกว่า " อาคำแจกแจง
" อืม " ผมตอบได้แค่นั้น
เบียร์หมดไปไม่รู้กี่ขวด ระหว่างผมกับผมกับน้องชายก็ไม่รู้ว่าใครเมามากกว่ากัน ผมโซซัดโซเซออกจากบ้านอาคำเมื่อตอนค่ำ
ที่ปากซอยใกล้กับมุมรั้วบ้านอาคำมีป้อมยามรักษาความปลอดภัยตั้งอยู่ มันจวนจะพังเต็มทีแล้ว ไม่มีใครนั่งประจำยามหรอก มันแค่สิ่งประดิษฐ์ในงานประกวดหมู่บ้านของทางการเท่านั้นเอง ผมรู้สึกปวดเยี่ยว ผมเดินเซเข้าไปหาป้อมยาม ติดกับป้อมยามมีป้ายแผ่นใหญ่ติดอยู่ ผมเงยหน้าอ่าน ตัวหนังสือโย้เย้ หรือผมตาลาย ไม่ทราบได้ แต่ผมจำแม่น เพราะผ่านมาทีไรผมต้องอ่านมันทุกที
หมู่บ้านเอาชนะยาเสพติด
กองทุนหมู่บ้าน ( กทบ. )
กองทุนแก้ไขปัญหาความยากจน (กขคจ.)
หมู่บ้านอาสาและพัฒนาป้องกันตนเอง (อพป.)
ผมพยายามยืนทรงตัวให้มั่นคง แอ่นหน้าแอ่นหลังปลดทุกข์ให้ตัวเอง และบรรจงเขียนตัวหนังสือให้สุดสวย
" ค_ย "