Skip to main content

หลงตัวเอง

คอลัมน์/ชุมชน


ใครบางคนทักขึ้น ขณะที่ฉันกับเพื่อนและน้องกำลังแอ็คชั่นอย่างเมามัน ประกอบการยิงชัตเตอร์แบบไม่เสียดายฟิล์ม ก็ไม่เสียดายจริงๆ เพราะตอนนี้เราไม่ได้ใช้ฟิล์ม เทคโนโลยีสมัยใหม่พาเราระเริงไปกับการเก็บภาพในระบบดิจิตอล จะลบ จะชม ทำได้ชั่วพริบตา


 


สนุกจริงวุ้ย ! ว่าแล้วฉันก็เดินทะลุรอบบ้าน เจอแมวตัวไหนก็คว้ามาประกอบฉาก บ้านเรามีแมวหลายตัว


บางคนอาจเคยฟังฉันเล่ามาแล้วก็ได้ เพราะทุกคนในบ้าน หรือแม้แต่น้องวาดฯ ก็ล้วนแต่ ‘หลง’ แมวด้วยกันทั้งนั้น


 


นึกถึงหนังของเป็นเอก รัตนเรือง "เรื่องรักน้อยนิด มหาศาล" นั่นล่ะ ความรู้สึกที่พวกเรามีกับ ‘ท่านๆ’ ทั้งหลาย


 


ดูสิ ตัวสีน้ำตาล แดดสายส่องรำไร เธอก็นอนเขลงเลียตัวแสนสำราญบนเก้าอี้หวายหน้าบ้าน ก๊วยกับแจ๋ว สองแม่ลูกจอมป่วน ผู้มีความสามารถพิเศษเปิดประตูบ้านได้เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ที่ทางของสองหล่อนคือช่องว่างระหว่างกอเฟิร์นกับวาสนา ทำตัวประดุจโลกนี้ไม่มีทุกข์ภัย ขนเพียงสองสี (ขาวกับดำ) กระทบแดดเล็กน้อยก็งามเลื่อมเป็นเงา


 


อดใจไม่ไหว ลงไปเกลือกกลิ้งขอประกบภาพอีกครั้ง


 


+++++++++


 


นึกถึงตอนเด็กๆ


 


ฉันเป็นเด็กบ้านนอก อยู่หมู่บ้านแสนไกล ป้ายบอกระยะทางจากเชียงใหม่ถึงอำเภอตั้งเกือบร้อยกิโลเมตร จากอำเภอยังต้องไปอีกไกลทีเดียว ใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงคำว่า "หมอเมืองพร้าว" ใช่แล้ว บ้านฉันอยู่อำเภอพร้าวนะเอง :-)


 


นึกถึงตอนเด็กๆ...จะเล่าว่า สมัยที่ฉันยังเป็นละอ่อนเยาว์วัยไร้เดียงสา การถ่ายรูปถือเป็นเรื่องสำคัญและใหญ่โตไม่ใช่เล่น หลักฐานยืนยันคือฉันมีรูปสมัยเด็กๆ เพียงไม่กี่ใบ หนึ่งใบเป็นรูปติดประกาศนียบัตรตอนจบประถมหก อีก 2 - 3 ใบ เป็นรูปในชุดนักเรียนที่ทางโรงเรียนบังคับถ่ายในตอนจะจบการศึกษา (อายุ 12) และอีก2 ใบเป็นรูปถ่ายคู่กับน้อง โดยมีกลองยาวที่วัดเป็นของประกอบฉาก


 


ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมถึงต้องมีกลอง จำได้แต่ว่าฉันสวมเสื้อสีเหลือง สวมสร้อยลูกปัดแปลกๆ (พี่สาวให้ยืมใส่ชั่วคราว) หน้าตากึ่งบึ้งกึ่งเบื่อ ส่วนน้องผูกผมยาวเป็นละอ่อนล้านนา สวมกางเกงวอร์มและเสื้อตัวเก่ง น่ารักดีทีเดียว แต่พิจารณาให้ดี แววตาเธอมีความตื่นกลัวเหมือนอีกในหลายๆ รูปที่พอหลงเหลือตกทอดมา


 


ไม่แน่ใจว่าน้องจะจำความรู้สึกตัวเองสมัยนู้นได้ไหม แต่ฉันว่าฉันจำได้ ทั้งความรู้สึกของฉันและความรู้สึกของเธอ พ่อถึงกับลงทุนเต้นระบำและไล่จับผีเสื้อเพื่อหลอกล่อให้น้องผ่อนคลาย ใช่ เธอกลัวกล้องถ่ายรูป ฉันไม่กลัว แต่กึ่งกลุ้ม กึ่งรำคาญ


 


มันเป็นของแปลกปลอม ทำให้เราแปลกแยก ในเมื่อจู่ๆ ต้องไปยืนตรงแหน็ว รอใครไม่รู้สั่งให้ยิ้ม


"อย่าขยับตัว, เอาละ หันซ้าย หันขวา มองกล้องซี มองกล้อง บอกให้มองกล้อง บอกให้มองกล้อง ! ละอ่อนง่าว !"


โอ้ยยย ...ผู้ใหญ่ก็ง่าวก็เหมือนกันละว้า ถ่ายรูปแค่นี้อารมณ์เสียไปได้!


 


+++++++++


 


 


ในตอนนั้น จำได้ด้วยว่า กว่าจะจบกระบวนการถ่ายภาพก็กินเวลาไปเกือบครึ่งวัน หลังจากนั้นยังต้องรออีกเป็นเดือนๆ กว่ารูปจะมาถึงมือ ราคาค่าภาพคิดเป็นค่าแรงในการเกี่ยวข้าวของแม่ราวๆ 2 วัน แพงแท้แพงว่า


 


แต่พอได้รูปมาใส่กรอบติดฝาบ้าน ใครไปใครมา พ่อแม่ก็พยักเพยิดภูมิใจ


"นั่นไงลูกสาว ตอนนี้คนน้องไปโรงเรียน คนพี่ไปเกี่ยวข้าว"


 


แหม ทำไมชีวิตฉันกับน้องต่างกันฉะนี้


แต่นั่นล่ะ ผ่านวันเวลามา ผ่านมา ผ่านมา สิบปี ยี่สิบปี ลุมาถึงบัดนี้ ฉันอายุเข้าเลขสามกลางๆ ไปแล้ว รูปภาพเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ในอัลบั้มเก่าๆ


 


พลิกเปิดดูครั้งใด ก็ท่วมท้นไปด้วยความรักความคิดถึง


 


+++++++++


 


 


ครั้งหนึ่ง ฉันเคยตั้งท่าจะเขียนเรื่องสั้นอยู่เรื่องหนึ่ง พล็อตง่ายๆ มีว่า ชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงใหลในการถ่ายภาพและใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตในการเดินทางไปตามที่ต่างๆ โดยมีกล้องถ่ายรูปเสมือนเพื่อนคู่กาย เขาไม่เคยหยุดการถ่ายภาพ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ที่เขาเหยียบย่างและมองเห็น


 


แล้ววันหนึ่ง เขาก็เดินทางถึงเมืองๆ หนึ่ง พบหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวยแสนสวยเมื่อมองผ่านเลนส์ แต่เขาก็เพียงเฝ้ามองเธอผ่านเลนส์เช่นนั้น ไม่เคยพูดอะไรกันสักคำ เขาคิดว่าตัวเองรักเมืองนั้น รักถนนสายเล็กๆ ที่ทอดผ่านบ้านเรือน ตลาด ร้านค้า รักแดดอุ่นๆ ที่จูบบนระเบียงบ้าน มีคนแก่นั่งจุดบุหรี่สูบสบายอกสบายใจ รักชายกำยำเจ้าของร้านตัดผมในอำเภอ ผู้ขู่ตะคอกลูกค้า ทว่าจดใบมีดโกนคมกริบลื่นไหลอ่อนโยน รักแม่ค้าขายขนมจีนใต้ร่มหางนกยูง ผู้ซึ่งสวมหมวกเสมอกันดอกไม้ร่วงลง


 


เขารักและรักและรัก แล้วเขาก็ถ่ายภาพ เก็บภาพ ถ่ายภาพ เก็บภาพ


 


วันหนึ่ง เมื่อยกกล้องขึ้นแนบดวงตา มองผ่านวิวไฟน์เดอร์ เขาก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองสวนมา


เธอถามขึ้นว่า "หยุดถ่ายรูปสักครู่ได้ไหม"


           


+++++++++


 


 


ฉันเขียนได้เท่านั้นนั่นแหละ มีความรู้สึกมากมายที่อัดแน่นอยากหลั่งไหลออกมาในเรื่องสั้นเรื่องนั้น ยังไม่มีชื่อเรื่องด้วยซ้ำ แต่เท่านั้นนั่นเอง ฉันรู้ตัวดีว่าไม่สามารถเขียนต่อไปได้


 


ในใจนึกกึกก้องแต่ว่า ถ้าฉันเขียนให้ตัวละครหยุดการถ่ายรูป ร่วมชีวิตอยู่กับหญิงสาวคนนั้น ในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น ทุกอย่างก็จบลงแล้วอย่างสวยสดงดงาม


 


แต่มันขัดแย้งกับความเชื่อส่วนตัวของฉัน ไม่มีหรอก ที่ไหน สิ่งใด อะไรก็ตามจะยั่งยืนนิจนิรันดร์ ถ้าชีวิตที่ผ่านมาจะเรียกว่า "ครึ่งชีวิต" ครึ่งชีวิตของฉันก็พบเห็นแต่สัจธรรมเรื่องการพลัดพราก เปลี่ยนแปลง


 


ทำไมฉันถึงเขียนให้ตัวละครนั้นบ้าการถ่ายรูปนักหนา


 


ก็เพราะเขาเชื่ออย่างไรล่ะว่าชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง คือการเดินทาง ไม่มีที่ไหนให้เขาพักพิงด้วยความไว้วางใจนิจนิรันดร์ เร็วหรือช้า คนเราไม่จากเป็นก็จากตาย ร้ายที่สุดคือตายจากกันทางความทรงจำ และด้วยเหตุผลเหล่านั้น สิ่งเดียวที่เขาจะเก็บไว้ได้คือภาพถ่ายวันเวลาที่ล่วงเลย


 


มีเพียงภาพเท่านั้นที่จะคงอยู่ ภาพเขา ภาพคนที่ผูกพัน ภาพดินแดนทุกหนทุกแห่งเท่าที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่


 


ฟังดูเหมือนคนมองโลกในแง่ร้าย ตระหนักถึงการพลัดพรากตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่สามารถตัดกิเลส ยังรัก ยังอาวรณ์ มีแต่ความขัดแย้งและความกลัวแสนกลัวซุกซ่อนข้างใน


 


มิใช่คนแบบนี้หรอกหรือ ที่ลึกๆ แล้ว เขาอยากมีที่ไหนสักแห่งพักพิงนิรันดร์ มีรักยั่งยืน มีแดดสาดส่องในชีวิตตลอดเวลา


 


+++++++++


 


ฉันเขียนเรื่องนั้นไม่จบกระทั่งบัดนี้ ต้นฉบับเก่ากรอบอยู่ในแฟ้มเก่าพอกัน นานๆ สักหนก็เอามาอ่านทีหนึ่ง แต่ก็ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ยังตรองไม่ตกว่า ฉันควรจะเขียนให้ชายหนุ่มคนนั้นหยุดการถ่ายภาพ ทดลองร่วมชีวิตกับหญิงสาวคนนั้น หรือยังจรดนิ้วลงกดชัตเตอร์ ถ่ายภาพเธอเพื่อเก็บไว้ดูในวันจากไกล


 


+++++++++


 


 


กลับมาที่วันนี้


"เหนื่อยแล้ว พอแล้ว !" 


 


เสียงน้องกับเพื่อนประสานเหมือนนัดกันไว้ แมวทั้งหลายก็คงเบื่อหน่ายเต็มที พวกมันหลบหนีออกจากรัศมีกล้องดิจิตอลความละเอียดหลายล้านพิกเซล ฉันยังไม่เหนื่อย แต่ก็จำใจ


"พักก็ได้"


 


ลงมานั่งรับลมเย็นๆ โดยไม่ต้องมองกล้อง มองใคร ปล่อยให้สายตาไล่ผ่านต้นไม้ในกระถางสี่ห้าชนิด มองแดดอ่อนๆ ที่แทงทะลุช่องรั้วเข้ามา ลามเรื่อยไปถึงกระถางบัวเล็กๆ บัวสีชมพูผลิดอกตูมนิดๆ มีปลาหางนกยูงว่ายวน น่ารักน่าเอ็นดู


 


ใครบางคนในบ้านหยิบกีตาร์มาเกาสาย เสียงน้ำในกาเดือดดังฟู่ๆ ประเดี๋ยวคงมีกลิ่นชาหรือกาแฟลอยมา คนที่ทักฉันว่า "หลงตัวเองรึเปล่า" เดินมาชะโงกหน้าดู ส่งยิ้มแจ่มกระจ่างมาให้ พูดไปงั้นๆ เอง รู้หรอก ก็ตอนก่อนหน้านี้เธอยังเก๊กท่าให้ถ่ายรูปเหมือนกัน


 


ลมพัดมาเย็นๆ หอมกลิ่นกาแฟจริงๆ ด้วย แต่มีกลิ่นชาปนมาอีก ตามด้วยกลิ่นอึแมว แหม อะไรจะผสานกันได้ขนาดนี้


 


แดดอ่อนๆ ค่อยมีสีเข้มขึ้น ถนนหน้าบ้านมีรถแล่นผ่านไป ฟ้าครึ้มลงเล็กน้อย ประเดี๋ยวเดียวก็มีลมพัดกรรโชกแรง คิดถึงบ้านที่อยู่แสนไกลขึ้นมาแว้บๆ นึกถึงพ่อ  แม่ และอดีตสุกใสในใจ


 


วันวานผ่านเราไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง แต่วันนี้พวกเราอยู่กันที่นี่ มีความรัก ความสุข มีโอกาสได้ถ่ายรูปร่วมกัน นั่นดีที่สุดแล้วนะ


 


ฉันบอกกับตัวเอง.


---------------------------------------------------------------------------