Skip to main content

‘ม่านฟ้า’ ดงพญาเย็น : จุดหมายปลาย ‘น้ำ’

คอลัมน์/ชุมชน

ติล์ม ตะวันออก


 


เมื่อกลิ่นปูนผสมกลิ่นควันจากท่อไอเสียเริ่มรบกวนโสตประสาทและบั่นทอนสมาธิการทำงาน จิตใจจึงยักย้ายไปจดจ่ออยู่กับป่าเขาดงดอย ทั้งจากภาพถ่าย เรื่องเล่าและจินตนาการ ด้วยหวังเพียงว่ากลิ่นป่าและม่านหมอกจะช่วยให้ชีวิตของเรากลับคืนมาอีกครั้ง


 


เรามีเวลาเพียงแค่เสาร์-อาทิตย์  จึงต้องเลือกไปในที่ที่ใกล้ๆ เพื่อค้างแรมสักคืน ในที่สุดเราทั้ง 6 คน ก็เริ่มเดินทางตั้งแต่เช้ามืดของวันเสาร์ที่หัวลำโพง ด้วยขบวนรถไฟธรรมดาสายกรุงเทพฯ-กบินทร์บุรี ตีตั๋วชั้น 3 ราคาเพียง 33 บาท มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติทับลาน จ.ปราจีนบุรี ด้วยความกระปรี้กระเปร่า หากแต่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ


 


เพียงนั่งรถไฟได้ไม่นาน ท้องฟ้าที่มืดครึ้มอยู่ก่อนแล้วก็เริ่มหลั่งเม็ดโปรยปรายลงมา เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันบอกว่า "นี่ไงน้ำตก ไม่ต้องไปไกลก็เห็นแล้ว" เราก็ยิ่งนึกกังวลยิ่งขึ้นว่า หากไปถึงที่หมายแล้วฝนตกนี่จะทำยังไงดี เที่ยวก็คงไม่สนุก นอนเต็นท์ก็คงลำบากแย่ ได้แต่ทอดสายตาออกไปทางหน้าต่างรถไฟ เพื่อมองไปยังทิศทางที่เรามุ่งไปก็เห็นท้องฟ้าจ้าเปิดโล่งอยู่ลิบๆ เหมือนกำลังเข้าข้างตัวเองอย่างนั้น


 


คนขายของบนรถเริ่มทำงาน ตะโกนขายของและเดินไปกลับฝ่าผู้คนที่มีทั้งนั่งและยืน เราชอบมองพวกเขาและมองสินค้าที่พวกเขาหอบหิ้วและบ้างก็อยู่บนบ่า เราเห็นความอดทน ความขยันขันแข็งของพวกเขา ที่สำคัญพวกเขานี่แหละที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจขึ้นรถไฟชั้น 3 เพราะเราคิดว่านี่คือสีสันที่พบได้ที่นี่เพียงที่เดียวโดยไม่ต้องหาซื้อแต่อย่างใด เรามองพวกเขาจนเพลินตาโดยไม่รู้ว่าเบื้องหลังชีวิตผู้คนเหล่านี้มีความเพลิดเพลินบ้างหรือไม่


................


เราเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงสถานีรถไฟกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งเราต้องนั่งรถสองแถวไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งในอำเภออีกไม่กี่กิโลเมตร หลังจากศึกษาแผนที่มาแล้วเส้นทางที่เราต้องการคือทางหลวงหมายเลข 304 กม.ที่ 79 เราเลือกที่จะขึ้นรถแดง ชลบุรี-โคราช เราทั้ง 6 คนยืนท้ายรถที่เบียดเสียดพอดู รถเข้าเกียร์1มาโดยตลอดเมื่อผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เราชะเง้อมองหุบเขาสีเขียวปนน้ำเงินครึ้มสลับกันไปมา อากาศเย็นพัดโชยผ่านหน้าต่างรถเข้ามาทำให้รู้สึกแช่มชื่นยิ่งขึ้น


 


ในที่สุดเราก็มาถึง กม.ที่ 79 ขวามือเป็นปากทางเข้าน้ำตกสวนห้อม อยู่ในหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติทับลาน ทง.13 (สวนห้อม) อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ใช้เวลาเดินทางจากขนส่ง อ.กบินทร์บุรี ประมาณ 1 ชั่วโมง เหลืออีกเพียง 6 กิโลเมตรที่ต้องเลี้ยวขวาเข้าไป เราก็จะถึงจุดหมายปลายทางที่พักแรมสำหรับค่ำคืนนี้แล้ว


 


เราได้เหมารถกระบะเข้าไปถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ ด้วยราคาและบริการแบบมิตรภาพ เราแวะซื้อข้าวปลาอาหารที่พอประทังชีวิต 2 มื้อไปด้วยไม่ว่าจะเป็น มาม่า ไข่ ปลากระป๋อง ผัก เผือก ข้าวสาร  โดยหวังไปหาอุปกรณ์เอาดาบหน้า  เพราะต่างคนต่างไม่ได้เตรียมอะไรติดไม้ติดมือมาด้วย  นับว่าการเดินทางที่ไม่ได้วางแผนมากนักในครั้งนี้ ได้สร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ


 


ระหว่างทางเราสังเกตหุบเขาโล่งสลับกันเป็นคลื่น  มีบ้านหลังโตปลูกใหม่อยู่บนยอดเนินแต่ละเนิน ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ทำไมเขาถึงได้รับอภิสิทธิ์ในการครอบครองเนินเขากันได้  ใจหนึ่งเราเองก็อยากมีวิวทิวทัศน์ที่มองจากบ้านด้านบนแบบนั้นบ้าง แต่อีกใจหนึ่งมันดูขัดหูขัดตาเสียเต็มประดา ทั้งความโล่งเตียนของผืนดินกับบ้านสีสดบนเนินเขาทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจ  โชคดีที่เรายังเห็นสีเขียวมาแทนที่สีดินแดงเนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าฝน ไม่อยากนึกภาพช่วงแล้งที่ผ่านมาเลยว่า ภาพที่เราเห็นอยู่นี้มันจะยิ่งดูหดหู่สักเพียงใด


 


ต้นไม้ประดับแนวป่า กลายเป็นแถวเทือกของไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพดไปเสียสิ้น  รีสอร์ทบ้านพักได้เข้ามายึดทิวเขาเป็นสินค้าไปเสียหมดสิ้น  ขณะที่ดวงตาที่ต้องการมองวิวทิวทัศน์ต้องอาศัยเท้าไปเหยียบยืนบนพื้นที่ที่มีราคาแพง จนทำให้บางครั้งรู้สึกถึงความน้อยใจสำหรับเราผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง


 


.......................


 


มิตรภาพมีอยู่รายทางอย่างแท้จริง เมื่อเราไปถึงด่านทางเข้าหน่วยพิทักษ์อุทยานฯ นอกจากพี่สาวจะแนะนำที่เที่ยวที่พักที่กินที่หลับที่นอนแล้ว ยังให้ยืมหม้อ จาน ช้อนและถ่านมาอีก ต้องขอขอบคุณพี่สาวที่กรุณาต่อเราเป็นอย่างสูง ความหวังที่จะได้ทานข้าวมื้อค่ำได้ฉายโชนมาทันที พร้อมๆ กับฝีเท้าของเราที่กำลังเดินสู่ลานกางเต็นท์


 


ณ ลานกางเต็นท์น้ำตกสวนห้อม เราเห็นทิวเขาดงพญาเย็นทอดตัวแบ่งอาณาเขตระหว่างจังหวัดปราจีนบุรีกับนครราชสีมา สีเขียวเข้มครามตัดกับท้องฟ้าสว่างจ้าในช่วงบ่าย บนภูเขาเห็นป่าไผ่ขึ้นแซมยอดไม้ เสียงน้ำตกบ่งบอกว่ามันซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากเรานัก ลมพัดโชยหอบเอาไอเย็นจากทิวป่าที่อยู่รายรอบมาต้อนรับทักทาย


 


หลังจากนั้น เราได้จัดแจงกางเต็นท์และเตรียมอุปกรณ์ประกอบอาหาร ขณะเดียวกันหัวใจของทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปยังน้ำตกที่ส่งเสียงเรียกรบเร้าอยู่ไม่ไกล เราเดินไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็ถึง ‘น้ำตกห้วยใหญ่’ คนเยอะแยะมากมายจนเราต้องเลี่ยงไปทางอื่นคือ ‘น้ำตกม่านฟ้า’ ที่อยู่ห่างไปเพียง 100 เมตร ซึ่งเราเดินเข้าป่าอันชุ่มชื้นเพียงครู่เดียวก็ถึง


 


 


เราพบสายน้ำตกที่ทิ้งตัวมาเป็นสายจากหน้าผาสูงประมาณ 80 เมตร เป็นดังม่านน้ำที่ยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับชื่อเสียงที่มีน้อยนิด ไม่มีนักท่องเที่ยวอยู่ก่อนหน้าที่เราจะไปถึงเลย เราจัดแจงถ่ายภาพเก็บไว้ด้วยความลิงโลดที่เดินทางมาพบน้ำตกสุดสวย ที่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักนัก


 


ความสมบูรณ์ของสายน้ำแห่งนี้ สังเกตได้จากตะไคร่หนาที่จับบนก้อนหินและขอนไม้ รวมทั้งกิ่งไม้ความรกรุงรังของผืนป่าที่โอบล้อมน้ำตกแห่งนี้ไว้ เรามีความรู้สึกชื่นใจมิใช่น้อยที่ได้มาพบ แต่เพียงชั่วครู่นักท่องเที่ยวก็ได้ทยอยเดินทางมายังน้ำตกแห่งนี้ จนทำให้ดูสับสนวุ่นวายไปหมด พอดีเรารู้สึกว่าได้เต็มอิ่มกับการแหงนคอมองผาน้ำตกที่มีอยู่ชั้นเดียวนี้แล้ว เราจึงก้าวเดินหันหลังให้กับเสียงโหวกเหวกของผู้คนที่กำลังกลบเสียงน้ำตกอยู่ไว้อย่างนั้น


 


ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งถ้าเราได้กลับมา จะยังมีเสียงของธรรมชาติและผืนป่าคอยต้อนรับเราอยู่ ซึ่งนั่นอาจเป็นความหวังที่ดูเลือนรางเต็มที


 


..................


 


ค่ำวันนี้เราช่วยกันทำอาหารอย่างง่ายๆ เราพบว่าเรากินเมื่อเราหิว แม้บางคนจะไม่เคยกินอาหารแบบนี้มาก่อนเลย  แต่สำหรับที่นี่อะไรที่พอให้เรามีแรงในวันรุ่งขึ้น และที่สำคัญการที่เราได้ร่วมกันทำร่วมกันกินเช่นนี้ อาหารธรรมดาๆ ก็ดูเหมือนว่าอร่อยขึ้นอีกเป็นกอง


 


สำหรับคืนเดือนหงายที่เต็มไปด้วยเมฆฝนเช่นคืนนี้ ทำให้รู้สึกกังวลในการนอนเต็นท์ยามเมื่อได้ยินเม็ดฝนหล่นมากระทบหลังคาดังเปาะแปะ ซึ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้กับเราอีกเท่าตัวว่าจะต้องย้ายที่นอนกันกลางดึกหรือเปล่า ในที่สุดดวงจันทร์และดวงดาวก็หายไปในก้อนเมฆพร้อมๆ กับดวงตาที่ปิดสนิทของเรา


 


ตี 5 เราตื่นขึ้นมาแหงนมองดาวที่กะพริบเต็มท้องฟ้ายามใกล้สว่าง ยอดหญ้าหน้าเต็นท์เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างและฝนที่ตกปรอยมาเมื่อกลางดึก อากาศเย็นสบาย กลุ่มหมอกลอยบางๆ  อยู่เหนือทิวเขา  เราตื่นขึ้นมารอพระอาทิตย์ในเช้าวันใหม่....วันอาทิตย์


 


หลังจากที่เดินทางมาครึ่งวันและท่องเที่ยวน้ำตกบริเวณใกล้ๆ  ความเบิกบานก็ได้เติมหัวใจของเราให้แช่มชื่นอีกครั้ง เราช่วยกันทำอาหารมื้อเช้าอันเป็นมื้อสุดท้ายของการเดินทางนี้ ก่อนที่จะทุบหม้อข้าวหม้อแกงเตรียมตัวเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายของเรายังหนีไม่พ้นการค้นหาสายน้ำในช่วงบ่ายของวันนี้


 


ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมการเดินทางเพื่อพักผ่อนของเราแต่ละครั้ง ต่างต้องการไปยังที่ที่มีน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ทะเล หรือแม้แต่อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อน


 


หรือเป็นเพราะว่าสายน้ำคือความผูกพันและสื่อถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง ขณะที่เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติด้วยเช่นกัน จุดเกาะเกี่ยวนี้ได้ฝังลึกและบ่มเพาะความเป็นมนุษย์มายาวนาน จนบางครั้งเราลืมไปแล้วว่า ‘น้ำคือชีวิตของเรา’