สอนหลานให้อ่านอังกฤษ (ตอนที่2)
คอลัมน์/ชุมชน
ทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษ?
Stephane Mallarme พูดไว้ทำนองนี้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกใบนี้ สุดท้ายก็ไปปรากฏอยู่ในหนังสือ" Mallarme คงจะพูดไว้นานแล้วก่อนยุคอินเตอร์เน็ท ดังนั้น ผมจึงขอถือวิสาสะเติม "และอินเตอร์เน็ท" ต่อท้ายที่เขาพูดไว้ ถ้าเราหยุดคิดสักนิดหนึ่งก็คงจะไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ ในบรรดาสื่อที่บันทึกความรู้และสารสนเทศต่างๆ เอาไว้ คุณผู้อ่านว่าสื่อประเภทใดมีมากและอยู่ได้นานที่สุด? เป็นภาพรวมทั้งโลกนะครับ ฝรั่งที่รู้บอกว่าหนังสือ หรือถ้าจะให้ชัดเจนก็คงต้องเรียกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ครับ
หากเรายอมรับคำตอบข้างต้น ก็มีคำถามต่อไปว่า แล้วภาษาที่ใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่มากมายมหาศาลในโลกใบนี้เป็นภาษาอะไรครับ? ฝรั่งที่รู้ก็บอกว่าภาษาอังกฤษครับ ถ้าความจำผมยังไม่เลอะเลือนมาก เขาบอกว่าประมาณ 60-70% ของความรู้และสารสนเทศในโลกนี้บันทึกไว้ด้วยภาษาอังกฤษครับ และก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในยุคอินเตอร์เน็ทนี้
พอจะยอมรับกันได้ไหมครับว่า เรา โดยเฉพาะลูกหลาน จำเป็นต้องเรียนและรู้ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการเรียนรู้ในอนาคต คงไม่ใช่เพื่อให้ก้าวทันโลกหรอกนะครับ เพราะคนไทยโดยทั่วไปขาสั้น ก้าวไม่ทันฝรั่งที่ขายาวกว่าได้หรอกครับ แต่อย่างน้อย เรียนเพื่อให้รู้ทันโลก หากโลกหลงทาง เราจะได้ไม่ต้องหลงไปด้วยอย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้
John Foster Dulles ได้พูดไว้ทำนองนี้ว่า "หากเราไม่เข้าใจภาษาของคนอื่น ก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจว่าอะไรอยู่ในใจของเขา" ตัวอย่างความไม่เข้าใจกันที่เราพบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น พนักงานขายในร้านสะดวกซื้อถามเราก่อนคิดเงินว่า "จะรับซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?" แม้จะเป็นภาษาไทยเหมือนกัน แต่ถ้าเราใช้ภาษาชาวบ้านก็คิดว่าเธอเตือนเราด้วยความหวังดีให้ซื้อซาลาเปากลับไปฝากลูกหลาน จึงพยักหน้ารับทันที ในความเป็นจริง เธอใช้ภาษาธุรกิจบอกเราว่าควรจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกเพื่อช่วยเขาขยายสาขาต่างหาก นี่แค่เป็นเรื่องเล็กๆ ระดับชาวบ้านนะครับ เราก็ยังไม่เข้าใจที่เขาพูด ทำให้เสียท่าเขาร่ำไป ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเช่นเรื่องระหว่างประเทศที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษล่ะครับ คิดแล้วต้องรีบคว้าเสื้อโอเวอร์โค๊ตขึ้นมาใส่ทันที
มาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าคุณผู้อ่านยอมรับหรือไม่ว่า ลูกหลานเราจำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้อยู่ได้ในอนาคต หากคุณเห็นว่าไม่จำเป็น ไม่รู้ภาษาอังกฤษก็อยู่ได้และมีความสุขดีด้วย ไม่ต้องปวดหัวว่าต้องเติม s ท้ายคำหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนกริยาไปช่อง 3 อย่างไร และอีกอย่าง ภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาของพวกจักรวรรดินิยม ผมก็ยอมรับครับ ทุกคนมีเหตุผลที่ดีทั้งนั้น ตราบเท่าที่เราสามารถเอาตัวรอดได้และมีชีวิตอย่างปกติสุข
ผมขอเลี้ยวซ้ายออกนอกประเด็นหน่อยนะครับ สมมติว่าเราไม่ให้ลูกหลานเรียนภาษาอังกฤษก็ได้ แต่ในความเป็นจริงของปัจจุบัน พวกเขาก็ต้องรู้ภาษาต่างประเทศสักภาษาหนึ่งจึงจะพอไหว รู้ภาษาไทยอย่างเดียวเขาว่าจะหาไม่พอกินครับ พอดีผมเห็นใน Newsweek ฉบับประมาณกลางปี 48 นี้ที่เน้นเรื่องประเทศจีน เขาบอกว่าตอนนี้สหรัฐฯ กำลังจะเร่งเครื่องสอนภาษาจีนให้เด็กนักเรียนอเมริกัน ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความมั่นคง ง่ายๆ ครับ ในปัจจุบันนี้มีคนใช้ภาษาจีนทั่วโลกร่วม 1.3 พันล้านคน หรือประมาณหนึ่งในห้าของคนทั้งโลก และส่วนใหญ่ของคนเหล่านี้ก็อยู่ใกล้ๆ ประเทศไทยนี่เอง สหรัฐฯ ทำอะไรเราก็ควรทำตามใช่ไหมครับ เพื่อให้อินเทรนด์ ผมหมายความว่าถ้าไม่เรียนภาษาอังกฤษก็ต้องเรียนภาษาจีนล่ะครับ แต่ถ้าจะให้เจ๋งก็ต้องเรียนทั้งภาษาไทย อังกฤษ และจีนครับ อย่างนี้อนาคตจ๊าบแน่
ประเด็นนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า เรามาคุยกันเรื่องภาษาอังกฤษต่อนะครับ
ในเมื่อเราเห็นสภาพความเป็นไปในปัจจุบันที่ภาษาอังกฤษมีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวัน เราก็คงจะพอเดาออกว่าสภาพในอนาคตอันใกล้ ในช่วงชีวิตลูกหลานเรานี่แหละครับ จะเป็นอย่างไร ภาษาอังกฤษคงจะยิ่งเพิ่มบทบาทมากขึ้นในชีวิตของคนทั่วโลก เราจะชอบหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่เราต้องอยู่กับมันจนเราตายไปก่อน ผมแน่ใจครับ!
Franklin D. Roosevelt ได้พูดไว้ว่า "เราไม่สามารถสร้างอนาคตให้กับเยาวชนของเราได้เสมอไป แต่เราสามารถเตรียมเยาวชนของเราสำหรับอนาคตได้" ผมว่าจริงนะครับ แม้ Nostradamus จะพยากรณ์เหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ในโลกนี้ได้ถูกต้องอย่างน่าทึ่ง (บางคนบอกว่า เราไปตีความคำพยากรณ์ให้เข้ากับเหตุการณ์ต่างหาก) แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดใช่ไหมครับ ต่อมา Lydon B. Johnson ก็ยังตอกย้ำว่า "[เราต้องเปิดประตูแห่งโอกาส] แต่เราต้องเตรียมประชาชนของเราให้เดินผ่านประตูเหล่านั้นด้วย" แม้แต่ Earl Woods พ่อของ Tiger Woods ที่คนไทยบางคนไม่ชอบเพราะไม่บอกว่าตัวเองเป็นคนไทย ยังพูดทำนองเดียวกันว่า "พ่อจะเตรียมลูกให้พร้อมที่จะออกจากบ้าน ส่วนแม่จะเตรียมลูกให้อยู่กับบ้าน" คำพูดนี้อาจมีน้ำเสียงแบ่งแยกเพศเล็กน้อย คุณผู้หญิงอย่าจริงจังมากนักนะครับ
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็พอจะบอกได้ว่า ฝรั่ง อย่างน้อยก็อเมริกัน เขาเตรียมลูกหลานของเขาสำหรับอนาคต
แล้วเราคนไทยจะว่าอย่างไรล่ะครับ?