การคุ้มครองเด็กเป็นหน้าที่ของเราทุกคน
คอลัมน์/ชุมชน
ความรุนแรงต่อเด็กเกิดขึ้นทุกวัน และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเห็นได้จากภาพการนำเสนอข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเด็กไทยมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการถูกละเมิดสิทธิมากกว่ากลุ่มคนวัยอื่นๆ
ด้วยการที่เด็กยังเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการดูแลตัวเองน้อย และจำเป็นต้องได้รับการดูแล ปกป้องคุ้มครองจากผู้ใหญ่ (หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า) เพื่อให้เด็กมีชีวิตที่ปลอดภัย มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต ดังนั้น การคุ้มครองเด็กจึงมีความหมายสำคัญที่จะสร้างเกราะคุ้มกันและปกป้องเด็กจากการถูกละเมิดสิทธิ รวมทั้งอันตรายจากความรุนแรงต่างๆ ทั้งทางกายและใจ
แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2540 ระบุไว้ในมาตรา 80 ว่า รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย เสริมสร้างและพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวและความเข้มแข็งของชุมชนและมาตรา 53 ระบุว่า เด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัว มีสิทธิได้รับความคุ้มครองโดยรัฐจากการใช้ความรุนแรงและการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม
เป็นผลให้เกิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ 30 มีนาคม 2547 โดยหัวใจของกฎหมายฉบับนี้ คือ การเน้นความรับผิดชอบในการปกป้องคุ้มครองเด็ก การเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนของผู้ปกครองตามมาตรฐานในกฎกระทรวง การกำหนดมาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กโดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และการมีส่วนร่วมขององค์กรท้องถิ่น
พร้อมทั้งยังมี พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2542 บัญญัติให้การสอบปากคำเด็กในชั้นสืบสวนสอบสวน และในชั้นพิจารณาของศาล มีพนักงานอัยการ ผู้ทำหน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อมุ่งเน้นการคุ้มครองเด็ก ในกระบวนการทางยุติธรรม
คำถามจึงมีอยู่ว่า มีกฎหมายคุ้มครองเด็กแล้ว เด็กได้รับการคุ้มครองจริงหรือไม่ ทำไม??
ผมได้มีโอกาสฟังเรื่องราว ประสบการณ์จากการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านสิทธิเด็กแห่งหนึ่ง ซึ่งมีข้อมูลที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และน่าสนใจที่จะติดตามอย่างยิ่ง รวมทั้งสะท้อนการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองเด็กว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ ในแนวปฏิบัติ
กรณีที่ 1 การข่มขืน พบว่า เด็กถูกข่มขืนตั้งแต่อายุ 5 ปีถึง 17 ปี รวม 7 ราย มีเด็กหญิงอายุ 5 ขวบถูกคนข้างบ้านข่มขืน เด็กหญิงอายุ 12 ปี ถูกพ่อและพี่ชายข่มขืนจนท้อง 6 เดือน เด็กหญิงอายุ 15 ปี ถูกลุงข่มขืนจนท้อง 9 เดือน เด็กหญิงใบ้อายุ 17 ปีถูกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพาไปข่มขืนในบ่อปลาของปลัดอำเภอ เด็กนักเรียนหญิงอายุ 17 ปี ถูกแฟนและเพื่อนของแฟนอีก 5 คนรุมโทรม ที่เหลืออีก 3 รายถูกข่มขืนโดยเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน
รายที่พ่อและพี่ชายข่มขืนไม่มีการแจ้งความ เพราะพ่อถูกดำเนินคดีค้ายาบ้า ส่วนพี่ชายต้องดูแลปู่ ย่า ญาติ ๆ ขอร้องไม่ให้ดำเนินคดีกับพี่ชาย 2 ใน 7 ราย ผู้ปกครองเป็นคนกระทำต่อเด็ก และ 2 รายเป็นการละเมิดสิทธิโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนรายเด็กหญิงใบ้ผู้เสียหายไปแจ้งความ ตำรวจไม่ยอมรับแจ้งความโดยให้เหตุผลว่าหญิงใบ้เคยมีแฟนมาแล้ว สุดท้ายมีการไกล่เกลี่ยและชดใช้ค่าเสียหาย 1,500 บาท ผู้กระทำผิดยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านกินเงินเดือนภาษีของประชาชน และเฝ้าสวนลำใยของปลัดอำเภอต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีคดีเด็กชายอายุ 16 ปี ตกเป็นผู้ต้องหาคดีทำลายตู้โทรศัพท์สาธารณะ ตำรวจยึดเอกสารบัตรประจำตัวประชาชนของเด็กไว้ โดยไม่แจ้งเหตุผลการให้เด็กอยู่ในห้องขังโดยใส่กุญแจมือและให้เซ็นเอกสาร ตำรวจไปรับเด็กมาโดยไม่แจ้งผู้ปกครองและผู้ใหญ่บ้านทราบล่วงหน้า และยังมีการพิมพ์คำให้การของเด็กไว้ล่วงหน้า โดยไม่มีการสอบสวนเด็กสักครั้ง จนเด็กต้องรับผิดทั้งที่ตนไม่ได้ก่อเรื่องขึ้น
การได้รับรู้เรื่องราวข้างต้น เสมือนสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า มีความสลับซับซ้อนของปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กในสังคมไทย แม้กฎหมายมีความตั้งใจให้เกิดการคุ้มครองเด็กแต่สังคมไม่มีการสร้างฐานความมั่นคงของครอบครัว รวมถึงกระบวนการศึกษาของเราไม่มีวิชาครอบครัวศึกษา วิชาสันติวิธีศึกษา ที่สร้างเสริมให้ลดการใช้ความรุนแรง
กล่าวคือ การเรียนการสอนปัจจุบันเน้นวิชาการ เน้นการแข่งขันและการแสวงหาอำนาจ เงิน และทรัพย์สินเพื่อความอยู่รอดของตนเองและอยู่เหนือคนอื่น เมื่อมีความขัดแย้งก็ใช้ความรุนแรงในการจัดการ
ทางด้านกฎหมาย พบว่าทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและกระบวนการสอบสวนขัดกับหลักการการปกป้องคุ้มครองเด็ก เพราะการดำเนินการใดๆ ทางกฎหมายกับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ต้องแจ้งพ่อแม่หรือผู้ปกครองตามกฎหมายล่วงหน้า เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ในกรณีที่เด็กทำผิด หรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ แต่กระบวนการพิสูจน์ตามกฎหมายต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม
เจ้าหน้าที่ขององค์กรพัฒนาเอกชนข้างต้นย้ำว่า "การคาดหวังให้ครอบครัวปกป้องคุ้มครองเด็ก ต้องใช้เวลาอีกยาวนานในการสร้างฐานความมั่นคงในครอบครัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางจิตใจ อันหมายถึงคุณธรรมจริยธรรม ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้กฎหมาย เท่าทันปัญหา ส่งเสริมให้รู้จักเคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักรับผิดชอบ และสามารถปกป้องตนเองได้ ในขณะเดียวกัน การปฏิบัติงานของผู้มีอำนาจ ก็ต้องคำนึงถึงสภาพปัญหา ข้อจำกัดของสังคมและพร้อมจะให้ความรู้ที่รอบด้าน ให้ความช่วยเหลืออย่างยุติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ตำรวจต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย มีตำรวจหญิง มีนักสังคมที่คอยให้ความช่วยเหลือ มีการลงโทษกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง และที่สำคัญต้องมีการลงโทษกับผู้ที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนผู้ที่ใช้อำนาจบารมีคุ้มครองผู้กระทำผิด"
ท้ายที่สุด ในการปกป้องคุ้มครองเด็ก เราทุกคนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง เริ่มจากการศึกษาข่าวสารข้อมูล กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ช่วยกันสอดส่องดูแลสิ่งที่เกิดขึ้นในชุมชน ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ถูกละเมิดสิทธิ ช่วยให้เด็กหรือผู้ที่ถูกกระทำมีกำลังใจต่อสู้เพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับตนเองและสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้สังคม
ช่วยกันป้องกันตั้งแต่วันนี้ก่อนที่ผู้ถูกข่มขืนและละเมิดสิทธิคนต่อไปจะเป็นแม่ เป็นลูก เป็นญาติพี่น้องหรือเป็นตัวเราเอง ดังนั้น การปกป้องคุ้มครองเด็กจึงเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องทำร่วมกัน.