Skip to main content

ดับ "ไฟใต้" ด้วยความเป็น "ศาสนิกชน"

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


-๑-


 


ในที่สุดสถานการณ์ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ "จุดเปลี่ยนผ่าน" ที่สำคัญอีกจุดหนึ่ง กล่าวคือ นอกจากจะยกระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ให้ "สูงขึ้น" ทั้งทาง "ปริมาณ" และ "คุณภาพ" แล้ว บัดนี้  ความขัดแย้งก็ดูราวกับจะขยายวงออกไปทุกทิศทาง จากแต่เดิมที่มี "รัฐ" และ "ผู้ก่อความไม่สงบ" หรือ "ผู้ก่อการร้าย" ถึงวันนี้กลับคล้ายจะไม่มีใครไว้ใจใคร ไม่มีใครเข้าใจใคร และไม่มีใครอยู่เคียงข้างใครอีกต่อไป


 


เรื่องเล่าของการกดขี่ข่มเหงจาก "รัฐไทย" หรือ "รัฐสยาม" ที่กระทำต่อ "คนเชื้อสายมลายู" หรือ "มุสลิม" ในอดีต ดูจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือยิบย่อยไปทันตาเห็น เมื่อเทียบกับความตึงเครียดที่กระจายไปทั่วพื้นที่ พร้อมๆ กับปริมาณ "กำลังรบ" และจำนวน "อาวุธยุทโธปกรณ์" ซึ่งถูกส่งเข้าไปตามสัดส่วนความรุนแรงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


 


จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตาย จำนวนคนสูญหาย จำนวนนักรบ จำนวนอาวุธ จำนวนเงินงบประมาณ เป็นเส้นกราฟที่ไม่เคยโน้มต่ำ และมิอาจคาดได้ ว่าเมื่อไรจะถึงจุด "สูงสุด"


 


จากข่าว "โจรกระจอก" บนหน้าหนังสือพิมพ์ "หัวสี" กลับกลายเป็นข่าว "การละเมิดสิทธิมนุษยชน", "ความขัดแย้งระหว่างศาสนา", และ "ความตึงเครียดระหว่างประเทศ" บนพื้นที่สำคัญของหนังสือพิมพ์, โทรทัศน์ และเว็บไซต์ข่าวสาร "ระดับโลก" ไปในเวลาอันสั้น


 


วันเวลาดูจะผ่านไป และผ่านไป...


 


ในขณะที่ "ความหวัง" ว่า "วันหนึ่งอะไรต่อมิอะไรจะดีขึ้นบ้าง" ก็ดูจะลางเลือนยิ่งขึ้นทุกที  นอกจาก "คนของรัฐ" และ "นักฝัน" ซึ่งจำต้อง "เชื่อ" และ "พูด" ตาม "หน้าที่" แล้ว แม้แต่ "นักอุดมคติสันติวิธี" ก็ยังยากที่จะยืนยันถึงวันที่ "ไฟใต้" จะมอดดับลง...


 


-๒-


 


เมื่อเจ้าคณะจังหวัดปัตตานีออกมาให้สัมภาษณ์เสริมความในแถลงการณ์คณะสงฆ์ปัตตานี (ซึ่งต่อมาขยายผลออกไปเป็นแถลงการณ์คณะสงฆ์ ๓ จังหวัดภาคใต้) เกี่ยวกับการแก้ปัญหาความรุนแรง, กระบวนการสันติวิธี และการสร้างความสมานฉันท์ ใน ๓ จังหวัด ก็คล้ายกับว่าเป็นฟางสำคัญอีกเส้นหนึ่ง ที่ถมทับลงบนหลังลา ซึ่งเหนื่อยล้าและเพียบแปล้ไปด้วยสัมภาระนานัปการมาเนิ่นนาน จนต้องล้มคว่ำคะมำหงาย ถ่ายเทความจริงบ้างด้านออกมา ให้ "แตกตื่น" เสียคราวหนึ่ง


 


มิหนำซ้ำ "ความแตกตื่น" นั้น ก็ดูจะไม่ธรรมดา เพราะเหมือนกับว่าจะทับซ้อนไปด้วยกัน  ระหว่าง "ฝ่ายนิยมความรุนแรง" ที่ร้องแรกแหกกระเชอขึ้นมาทันทีทันใด ว่า "เห็นไหมๆ ขนาดพระก็ยังทนไม่ได้ ยังทนไม่ไหว... ยังเรียกร้องให้ตอบโต้โดยนายทหารสายเหยี่ยว..."


 


กับ "ฝ่ายสมานฯ-สันติฯ" ที่ถึงคราวจะได้เงยหน้าขยับแว่น เหลือบละสายตา ออกจาก "กองข้อมูล" และ "แผนงาน" ที่พากัน "สุมหัววิเคราะห์" อยู่บนโต๊ะและห้องแคบๆ แล้วตื่นจากภวังค์แห่งความหลงใหลได้ปลื้มต่อ "ภารกิจแห่งชาติ" ที่ "นักธุรกิจการเมืองมหาเศรษฐี" หลอกล่อให้มาร่วมสร้างภาพ "หลอกฝรั่ง" ชนิด "ภายเรือให้โจรนั่ง" ไปด้วยกัน


 


โดยที่ "ท่านผู้นำ" แทบมิได้ หรือมิเคย "รับฟัง" หรือ "รับเอา" สิ่งที่ "คนดีๆ" กลุ่มนี้ลงทุนลงแรงคิดอ่านร่วมกันมา


 


ไม่น่าแปลกใจมิใช่หรือ ที่ "ข้อเรียกร้องที่ ๑๒" ของคณะสงฆ์ ๓ จังหวัด "ให้ยุบคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.)" จะมิได้รับความสนใจจาก "ท่านผู้นำ" เช่นเดียวกับ หรือพร้อมๆ ไปกับ การ "ไฟเขียว" ให้ "ขุนพลคู่ใจ" ใช้ความรุนแรง "ตอบโต้" การก่อการร้ายได้อย่างเต็มที่


 


กล่าวคือ ให้ฝ่าย "สมานฯ-สันติ" ทำหน้าที่ "ตามล้างตามเช็ด" ต่อไป และให้ฝ่าย "รุนแรง" ได้ "ขี้-เยี่ยว" เลอะเทอะ "ตามใจชอบ" กันต่อไปตามอัธยาศัยนั่นเอง


 


-๓-


 


บางคนกล่าวว่า สถานการณ์ใน ๓ จังหวัดภาคใต้นั้นเต็มไปด้วยผลประโยชน์ จึงยากที่จะยุติลงได้ด้วยการแก้ไขอย่างธรรมดาสามัญ ด้วยหลักวิชาการ และทฤษฎี "ตามตำรา"


 


นอกจากนั้น บางคน บางกลุ่ม ก็ยังบอกว่ายิ่งนานไป "ชีวิตผู้บริสุทธิ์" ก็ยิ่งจะถูกทำลายลงไปมากขึ้นทุกที...


 


ความข้อนี้ทำให้อดหวนคิดถึง "สงครามปราบปรามยาเสพติด" เสียมิได้ ด้วยว่าครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้นั้น เรามีการปักธง "ชัยชนะ" ลงบนชีวิตและความตายของ "คนร่วมชาติ" กว่า ๒,๕๐๐ ศพ ใช้เลือดเนื้อและวิญญาณของพวกเขา(และเธอ) ไปในการ "หาเสียงชั่วครั้งชั่วคราว" ราวกับเป็นบันไดเล็กๆ ขั้นหนึ่งเท่านั้นเอง


 


แน่ละ ว่าในจำนวนนั้นมีอยู่ไม่น้อย ที่เป็น "คนผิด" แต่จะผิดหรือถูก จะใช่หรือไม่ ย่อมมิใช่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาตัดสินโดยพลการ ตามใจชอบ มิใช่หรือ


 


ถึงวันนี้ แม้จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายใน ๓ จังหวัดภาคใต้จะยังไม่เท่ากับความตายในสงครามต่อต้านยาเสพติด ก็ดูเหมือน "ฝ่ายเจ้าหน้าที่" เอง จะสูญเสียยิ่งไปกว่าสงครามคราวก่อนมากมายนัก  แต่อย่างไรก็ตาม อย่างหนึ่งที่ยังคล้ายกันมาก คือการที่ "คนผิด" มักไม่ค่อยถูกจับกุมมาดำเนินคดีโดยกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดๆ


 


และที่คล้ายกันกว่านั้น ก็คือ การที่ "บางคน" ได้รับคะแนนเสียง "ระดับความนิยม" ในวงกว้าง จากชีวิตและความตายของ "ผู้บริสุทธิ์" โดยแทบมิต้องลงทุนใดๆ เลย


 


ไม่ว่าจะเป็น "คะแนนผู้ปราบยาเสพติดอย่างเด็ดขาด" หรือ "คะแนนผู้รักชาติที่ไม่ยอมเสียดินแดนสักนิ้วเดียว" ก็ตามที


 


-๔-


แน่ล่ะ ว่าความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ย่อมมีเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นจำนวนมาก และสัมพันธ์กันอย่างหลากหลายยิ่ง ทั้งที่มาจากอดีต และที่มีอยู่ในปัจจุบัน


 


จึงมิใช่เรื่องง่าย ที่ใคร หรือกลุ่มใด จะเข้าไปแก้ไขโดยส่วนเสี้ยว ซึ่งนอกจากจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแล้ว ในมุมกลับ อาจทำให้สถานการณ์โดยรวมรุนแรงขึ้นไปอีกโดยง่าย


 


ฝ่ายที่มุ่งจะใช้วิธี ตาต่อตา ฟันต่อฟัน จึงควรจะสำเหนียกถึงผลกระทบ และผลลัพธ์ในบั้นปลายให้มากเข้าไว้ หาไม่ สิ่งที่เรียกร้องให้ปราบปรามอย่างเฉียบขาดและรุนแรง เพื่อรักษาชีวิตผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่แตกต่างจากฝ่ายมุ่งทำลายผู้บริสุทธิ์ เพื่อชัยชนะเฉพาะกลุ่มเฉพาะตนในขั้นสุดท้ายนั่นเอง


 


กล่าวคือ ต่างก็เป็นผู้ "มุ่งทำลายเพื่อชัยชนะ" ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น โดยมิได้คำนึงถึงความรุนแรงหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นได้กับ "ทุกฝ่าย" ตามรายทางที่จำต้องฝ่าข้ามไปด้วยกันแต่อย่างใดเลย


 


ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่ทำงานด้านสมานฉันท์และสร้างเสริมสันติวิธี ก็ควรมีวิธีการอันฉลาดและแยบคายในการทำงานกับคนจำนวนมาก ให้มากเสียยิ่งกว่าความฉลาดและแยบคาย ในการทำงานกันเอง ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานระยะสั้น หรืองานระยะยาวก็ตาม


 


เพราะตราบใดที่มวลชนมิได้รับรู้ หรือรู้สึกมีส่วนร่วม กับ "งานฝ่ายกุศล" ก็ยากยิ่งที่จะกีดกัน หรือทำความเข้าใจ ให้เขาออกห่างจาก "ฝ่ายอกุศล" ที่มีกโลบายแยบคายเสียยิ่งกว่าไปได้


 


พึงตระหนักไว้เถิด ว่างานที่ "ทำเพื่อประชาชน" นั้น "จำเป็นอย่างยิ่ง" ที่จะต้องให้ประชาชนได้ "รับรู้" ว่า พวกท่าน "ทำอะไรอยู่" ไม่น้อยไปกว่าความจำเป็นในการ "รายงาน" ให้ผู้แต่งตั้งพวกท่าน "รับทราบ" แต่ประการใดเลย


 


นำ "การเมืองการตลาด" ของ "ท่านผู้นำ" มาใช้อย่างมี "อุปายโกศล" เสียบ้าง ก็มิน่าจะเสียหายนัก มิใช่หรือ...  


 


-๕-


 


ในภาวะอันเป็น "จุดเปลี่ยนผ่าน" เช่นวันนี้ นอกเหนือจากเหตุและปัจจัยอื่นๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ท้าทาย และมักไม่มีใครพูดถึงนัก


 


ก็คือ "จุดยืน" และ "จังหวะก้าว" ที่สำคัญ ของความเป็น "ศาสนิกชน" ซึ่งน่าจะสูงส่งและปลอดพ้นไปจาก "อคติ" และ "กับดัก" ต่างๆ  ในทางโลก หรือโลกียธรรม


 


นั่นคือ กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น "พุทธศาสนิกชน" หรือ "อิสลามิกชน"


 


"เราทุกคน" ปรารถนาเช่นไรต่อ "สันติสุข" และ "สันติภาพ" ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้...


เราทุกคนปรารถนาเช่นไร ต่อการใช้ชีวิตร่วมกัน ในนามของ "คนมีศาสนา"


 


ซึ่งน่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างดีงามและสูงส่ง เกินกว่าการเป็นเพียงประชาชน ผู้มีสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง ในฐานะประชากรของรัฐใดรัฐหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐไทย หรือรัฐปัตตานีก็ตาม


 


และที่สำคัญยิ่ง เราทุกคนปรารถนาเช่นไร ต่อการแก้ปัญหาต่างๆ ใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ "ด้วยหลักศาสนธรรม" ซึ่งน่าที่จะ "จริงจัง" และ "ยั่งยืน" ยิ่งไปกว่า การแก้ด้วยกระบวนการทางการทหาร หรือการเมืองการปกครอง ดังที่มักจะพูดถึงกันอยู่


 


ความเป็น "ศาสนิกชน" ที่กล่าวมาข้างต้น น่าที่จะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่เราทั้งหลายจะสามารถ "สามัคคี" หรือ "เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน" ได้ยิ่งกว่าความเป็นสมาชิกของศาสนาหนึ่งศาสนาใด ในลักษณะ "สังกัดสถาบัน" ซึ่งจะมากจะน้อย ก็มักอิงแอบอยู่กับรัฐ หรือองค์กรทางการเมือง ที่มักเป็นอุปสรรคต่อการแสดง "ความเป็นกลางที่แท้จริง" ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ หรือในศาสนาอิสลาม ก็ตาม


 


ในฐานะ "ศาสนิกชน" เราทุกคนมี "เครื่องมือ" และ "เป้าหมาย" ที่ยิ่งใหญ่และถูกต้องยิ่งกว่าอยู่แล้วจะมัวเสียเวลาและสูญเสีย "ความถูกต้อง-ดีงาม" ให้กับ "ผลประโยชน์" และ "อำนาจ" ของ "นักการเมือง" บางกลุ่ม-บางพวก อยู่ทำไม...


 


จะมัวเสียเวลาและสูญเสีย "ความถูกต้อง-ดีงาม" ให้กับ "ความแตกแยก" และ "ความกินแหนงแคลงใจ" ของ "นักสร้างสถานการณ์" และ "นักปลุกระดม" บางกลุ่ม-บางพวก อยู่ทำไม...


 


บาดเจ็บ ล้มตาย เสียหายมามากขนาดนี้


 


น่าจะถึงเวลาแล้วมิใช่หรือ ที่ทั้ง "พุทธ" และ "มุสลิม" จะลงมือ และร่วมมือ "แก้ปัญหาด้วยกัน-แก้ปัญหาไปพร้อมๆ กัน" เสียที...