เราจะคุยกันด้วย "ภาษาแม่" ที่หลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ
คอลัมน์/ชุมชน
อย่างที่ได้บอกไว้ว่า ที่เรานำตัวเองเข้ามาร่วมวง "สันติทรรศน์" เพราะเราคิดว่าเราจะได้มีโอกาสศึกษาและพัฒนาความเป็นศาสนิกของตัวเองและลูกด้วย และจากการแสวงหาของเรา คราวนี้เราได้งานเขียนมาชิ้นหนึ่งที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่ามีความหมายกับแนวทางการดำเนินชีวิตของเราในวันนี้มากๆ ด้วยความอนุเคราะห์ของ "คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อความยุติธรรมและสันติ" เราได้บทความเรื่อง "การใช้ชีวิตในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม:อินโดนีเซีย" เขียนโดยบาทหลวงอิกญาซิอุส อิสมาร์โตโน พระสงฆ์คณะเยสุอิต เราขอแบ่งปันสิ่งที่เราได้จากการอ่านบทความนี้สู่ผู้อ่านประชาไทก็แล้วกันนะ
ถึงแม้ว่าในประเทศไทย ประชาชนเกือบทั้งประเทศได้ชื่อว่าเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ ชาวมุสลิมเป็นคนส่วนน้อย ชาวคริสต์ยิ่งน้อยนิดลงไปใหญ่ แต่เมื่อเราลงไปที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย คนที่มิได้นับถือศาสนาอิสลามก็จะกลายเป็นคนส่วนน้อยไปทันที แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาน่าห่วงใยอะไรเลย เพียงแต่เห็นว่าด้วยมุมมองเช่นนี้น่าจะพาเราไปสู่การสร้างสันติสุขในหมู่พี่น้องร่วมสังคมเดียวกันได้
ครั้งก่อนเคยเขียนไว้ว่า ความรักและความเข้าใจสร้างสันติภาพ ความรักต้องการความเข้าใจ ความเข้าใจต้องการการเปิดใจกว้างที่จะเรียนรู้ มาครั้งนี้ขอต่อว่า การจะเรียนรู้กันได้ก็ต้องสื่อสารกัน บาทหลวงอิกญาซิอุส อิสมาร์โตโน บอกไว้ว่า การสื่อสารระหว่างชนต่างศาสนา สะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่อาจเป็นได้ใน 4 ลักษณะคือ การเป็นศัตรูกัน การอดกลั้น การเสวนา และการเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง
จากการเป็นศัตรู สู่การเป็นพี่น้อง
ทุกศาสนาสอนว่า ต้องหลีกเลี่ยงการเป็นศัตรูกับผู้นับถือศาสนาอื่น กระนั้นก็ดี ในปัจจุบันยังคงมีความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงกันอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนทางศาสนาเพียงอย่างเดียว จากประสบการณ์ในพื้นที่การทำงาน เรารู้ว่าความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงเกิดจากสาเหตุอื่นที่มิได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเลย นั่นคือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
สาเหตุหลักของความขัดแย้งมิได้เกิดจากศาสนา แต่เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันว่า ศาสนามีบทบาทสำคัญในชีวิต ดังนั้น เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ผู้นำทางศาสนาต่างถูกเชิญให้มาแสดงความเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ศาสนิกของตนแสดงความอดทนและหลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบโต้อย่างเหี้ยมโหด ตลอดจนเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชน พวกเขาอาจ (หรือเราเองก็น่าจะ) ตระหนักว่าการใช้ความรุนแรง มิได้ส่งผลร้ายแต่เฉพาะคนบางกลุ่มชนเท่านั้น แต่ทุกๆ คนต่างก็ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงด้วยกันทั้งสิ้น
ลักษณะที่สอง คือบรรยากาศของความอดกลั้น โดยทฤษฎี ความอดกลั้นคือพื้นฐานที่สังคมเจริญแล้วพึงมี แต่ความคิดเรื่องความอดกลั้นมักจะขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงของคนหนึ่งๆ และความรู้ที่คนๆ นั้นมีเกี่ยวกับศาสนาอื่นๆ แต่ลำพังความอดกลั้นเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะมันอาจทำให้การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่เกิดผล เนื่องจากความอดกลั้นอาจเป็นเพียงแค่การยินยอมให้ผู้อื่นเดินผ่านไปโดยไม่มีการสื่อสารกันเลย แม้ว่าจะไม่เพียงพอ แต่เราจะพยายามฝ่าฟันข้อจำกัดนี้ด้วยการสร้างการสื่อสารที่เชื้อเชิญให้ผู้คนขยายเส้นขอบฟ้าระหว่างกันให้กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้น
ลักษณะที่สามได้แก่การเสวนา การเสวนาจำเป็นต้องมีการสื่อสารและความสัมพันธ์ต่อกัน แนวคิดเรื่องการเสวนาเรียกร้องให้ศาสนิกของแต่ละศาสนา เลิกคิดและเลิกรู้สึกว่า ศาสนาที่ตนนับถืออยู่ดีกว่าศาสนาอื่น แต่ให้ใช้แนวคิดที่ว่าความหลากหลายมีบทบาทสำคัญ ศาสนิกที่นับถือศาสนาต่างกันต้องเข้าใจว่า ศาสนาต่างๆ ที่มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์นั้น ล้วนมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน และได้กระทำในสิ่งที่ดีและไม่ดีเหมือนๆ กัน พวกเขาควรเข้าใจว่า ศาสนิกของศาสนาหนึ่ง สามารถรับฟังเรื่องดีๆ ของศาสนาอื่นได้ เพราะแม้ว่าแต่ละศาสนาจะแตกต่างกัน แต่ทุกศาสนาต่างก็มีสิ่งที่ละม้ายคล้ายกันอยู่ไม่น้อย
ลักษณะที่สี่ คือบรรยากาศการเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง บรรยากาศเช่นนี้จะมีสีสันมากยิ่งขึ้นด้วยมิตรภาพและความร่วมมือกัน หากว่าในบรรยากาศของการเสวนา ศาสนิกต่างศาสนาต่างก็เอาใจใส่ในการแลกเปลี่ยนความคิดและแรงบันดาลใจซึ่งกัน ในบรรยากาศที่สี่นี้เอง ความสมานฉันท์จะแสดงออกโดยผ่านการทำงานร่วมกัน นี่เป็นความเชื่อที่ช่วยสร้างสิ่งดีๆ มีประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น
เราต้องตระหนักว่า รัฐบาลสามารถริเริ่มการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างศาสนิกของศาสนาต่างๆ กัน แต่ความสัมพันธ์จะเป็นจริงและพัฒนาขึ้นได้ย่อมขึ้นอยู่ที่ศาสนิกนั้นเอง ทัศนคติที่เปิดกว้างและจิตวิญญาณแห่งการร่วมมือกันย่อมมิใช่กลวิธีเพื่อสร้างความปลอดภัย แต่ในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศ ทัศนคติที่เปิดกว้างและจิตวิญญาณแห่งการร่วมมือกัน เป็นสิ่งจำเป็นในการก่อร่างและพัฒนาความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติ และในฐานะที่เป็นคริสตชน สิ่งนี้ก็เป็นการปฏิบัติตามความเชื่อคาทอลิก (ความห่วงใยและความหวัง, สารสภาพระสังฆราชอินโดนีเซียในเทศกาลมหาพรต, หน้า 11-12)
ทุกศาสนารวมทั้งศาสนาอิสลาม ต่างตระหนักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมว่า ในความเป็นจริงเราอาศัยอยู่ในโลกที่มีความแตกต่างหลากหลาย นี่คือความท้าทายใหม่สำหรับทุกคน คือการที่แต่ละคนจะเข้าใจว่าความแตกต่างมีความหมายว่าอย่างไร ในอดีต ความแตกต่างถูกเข้าใจเพียงว่า จะทำอย่างไรจึงสามารถกำจัดผู้ที่แตกต่างออกไป แต่ในปัจจุบัน ความแตกต่างสะท้อนออกมาในแนวความคิดเรื่องความหลากหลาย การมีอยู่ของความต่างถูกมองจากสายตาแห่งการร่วมไม้ร่วมมือกัน จากการสรรหาวิธีการเสริมสร้างกันและกันให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อาศัยความเคารพในกันและกัน เพื่อบรรลุพันธกิจร่วมกัน ก่อนที่จะการร่วมมือกันจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีการยอมรับเรื่องความหลากหลายที่มีอยู่ร่วมกันเสียก่อน การร่วมมือกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน การร่วมมือกันจะช่วยให้พวกเราสามารถปั้นแต่งโลกให้เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
นี่แหละสิ่งที่เราได้เรียนรู้ได้ข้อคิดจากบทความของบาทหลวงอิกญาซิอุส อิสมาร์โตโน
ทีนี้ก็มาถึงขั้นการปฏิบัติ ระหว่างวันที่ 14 16 พฤศจิกายนนี้ จะมีงานมหกรรมสันติภาพที่ปัตตานีนะ เราจะไปร่วมงานด้วย ในฐานะที่เราเป็นผู้หญิงและเป็นแม่ เราก็จะห่วงใยผู้หญิงและบรรดาแม่ๆ เป็นพิเศษ เราจึงจะไปร่วมแบ่งปัน แลกเปลี่ยน สื่อสาร กับบรรดาผู้หญิงและแม่ๆ ที่มาจากหลายๆ ที่ทั่วประเทศไทย อาจมีคำกล่าวว่า "หากยังมีความรู้สึกระแวงสงสัย ก็ขอให้เราเอาชนะความรู้สึกด้วยการหันหน้าเข้าหากัน และพูดคุยกัน"
แต่ที่เราจะไปร่วมงานครั้งนี้ เราไม่ได้ไปด้วยความรู้สึกระแวงสงสัยนะ แต่เราไปด้วยความห่วงใยและความหวังที่จะสร้างความเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริงต่างหาก
แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังนะ