Skip to main content

ระหว่างเขากับผม

คอลัมน์/ชุมชน


 








"ชีวิตคนหนุ่มสาว มีเรื่องราวที่แตกต่าง


ต่างคนต่างเส้นทาง


ที่เลือกวาง สร้างทางเดิน


……….


ตัวเธอและตัวเขา


ต่างตัวเรา หลากความฝัน


แต่หากจักร่วมปัน


ฝันต่างฝันคือฝันเดียว"


 


 


ใช่ว่าการเลือกเส้นทางเดินของชีวิตแต่ละคนจะเหมือนกัน แน่นอนว่าการตัดสินใจในแต่เรื่องของคนๆ หนึ่งนั้นย่อมมีที่มาที่ไป บางครั้งคนเรามักตัดสินคนจากภายนอก ตัดสินใจพฤติกรรมที่เขาทำ หากแต่ไม่ได้มองว่าเพราะอะไร เพราะเหตุใดเขาจึงเป็นเช่นนั้น อะไรทำให้เขาทำแบบนี้


 


เขาเป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งที่ได้เลือกทางเดินของชีวิต ซึ่งอาจแตกต่างไปจากคนในวัยเดียวกันกับเขา และปฏิเสธไม่ได้ว่าคนแบบเขาในสังคมนั้นอาจมีไม่มาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญมากกว่าการที่คนในวัยเดียวกันกับเยาว์ ซึ่งเป็นวัยหนุ่มสาวจะตั้งคำถามกับตัวเอง ตั้งคำถามกับความหมายของชีวิตที่มากกว่าคนอื่นนิยามให้


 


"ตอนนี้ผมย่างเข้า 20 ปี ที่บ้านมีแม่ น้องสาว และพ่อ ผมมีพ่อ 2 คน  แม่กับพ่อของผมหย่ากันตอนผมอายุ 7 ขวบ ตอนนั้นผมเรียนอยู่กรุงเทพฯ ประมาณ 3 ปี พ่อเป็นช่างยนต์ แม่เป็นแม่ค้า พ่อกับแม่หย่ากันเพราะพ่อมีปัญหาเรื่องชู้สาว ชอบเที่ยว กลับมาบ้านตอนดึกๆ เวลาดื่มเหล้ามาก็จะทำร้ายร่างกายแม่ แม่จึงอดทนไม่ไหว จึงทำเรื่องหย่ากับพ่อ"


 


เขาเล่าถึงชีวิตในวัยเด็ก ในช่วงที่พ่อแม่หย่ากัน และบอกต่อว่า "ก่อนหน้าจะหย่ากันแม่เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง ครั้งหนึ่งที่ผมจำได้ คือวันนั้นผมเลิกเรียนกลับมาที่บ้านเห็นแม่ร้องไห้ หน้าแดงกร่ำ แม่บอกว่าแม่อยากตาย ชวนผมไปโดดสะพานที่แม่น้ำเจ้าพระยาด้วยกัน แม่บอกว่า ถ้าไม่ไปแม่จะไปคนเดียวแล้วจะเอาเงินที่มีอยู่นกระเป๋า 1,000 บาท ให้ผมใช้ หรือไปกับแม่"


 


เขาบอกว่า เขาตัดสินใจจะไปโดดน้ำกับแม่ พอตัดสินใจร่วมกัน ทั้งสองแม่ลูกเดินลงบันไดมาพร้อมกับร้องไห้ด้วยกัน น้าซึ่งเป็นคนที่อยู่ด้วยกันที่บ้านก็มาพบ และห้ามไว้ไม่ให้ไปไหน จึงทำให้แม่และเขายังมีลมหายใจอยู่


 


หลังจากการหย่าของพ่อกับแม่ เขาเลือกที่จะอยู่กับแม่ และชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน เขากลับมาอยู่ที่บ้านเกิดที่เชียงราย แน่นอนว่าการกลับมาบ้านเกิดเหมือนดั่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่การเริ่มต้นย่อมมีอุปสรรค


 


"ชีวิตที่เชียงรายของผมเริ่มต้นขึ้น ผมเข้าเรียนต่อชั้น ป.2 ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ในเริ่มแรกมีปัญหาคือ ผมไม่สามารถเข้าเรียนได้เพราะว่าผมเรียนก่อนเกณฑ์ 1 ปี จึงต้องให้โรงเรียนที่กรุงเทพ ออกเอกสารรับรองการเรียน ท้ายสุดก็ได้เรียน แต่ก็ยังพบกับปัญหาด้านภาษาที่พูดภาษาเหนือไม่ได้"  


 


"มาอยู่ที่เชียงราย ได้ประมาณ 3 ปี แม่แต่งงานใหม่กับพ่อใหม่ และมีลูกด้วยกันหนึ่งคน เป็นผู้หญิง ห่างจากผม 9 ปี พ่อใหม่ไปทำงานก่อสร้างในต่างประเทศ ไม่ค่อยมีเวลากับทางบ้าน ผมจึงอาศัยอยู่กับแม่ และน้องสาว ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย"


 


"ผมเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนในตำบล และไปทำงานที่อู่รถกับลุง เป็นลูกมือช่างยนต์ ลุงได้เล่าเรื่องพ่อให้ฟังว่าพ่อซ่อมรถเก่งมาก จนทำให้ผมฝันว่าผมจะต้องเป็นช่างยนต์ที่เก่งคนหนึ่งเหมือนดังพ่อให้ได้ เวลากลางวันผมไปเรียนหนังสือ ตอนเย็นมาช่วยงานอู่ วันหยุด ฝนตก ผมก็มาทำงานที่อู่ จนใครๆ ก็อยากให้เป็นช่างยนต์ที่เก่งจริงๆ"


 


ดูเหมือนว่า……เขาเริ่มมองเห็นสิ่งที่ตนเองชอบ นั่นคือการได้เป็นช่างยนต์ แต่ชีวิตของเขาก็ต้องเปลี่ยนผันจากการเป็นเด็กอู่ สู่การเป็นเด็กกิจกรรม


 


เขาเล่าว่า "การเดินทางระหว่างบ้านกับอู่รถ ทำให้ผมได้เห็นการรวมตัวของเยาวชนในหมู่บ้าน ป้ายชื่อบ่งบอกว่าเป็นกลุ่มเฉพาะเด็กหญิง ผมคิดแต่เพียงว่าที่นี่คงมีแต่ผู้หญิง ไม่เอาดีกว่า ถ้าเข้าไปก็จะเป็นผู้ชายคนเดียว เดี๋ยวจะถูกว่าเป็นกะเทย"


 


"จากนั้นไม่นาน….. มีคนมาขอคำปรึกษาเรื่องแฟน และบอกว่าตั้งท้องและโดนทิ้ง ผมไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร สุดท้ายเขาก็ไปทำแท้ง จากเหตุการณ์นั่นเอง ผมรู้สึกว่า ผมช่วยอะไรเขาได้ไม่มาก มันทำให้อยากรู้เรื่องสิทธิมากขึ้น แม้จะรู้มาบ้างอย่างนิดน้อย และผมก็อยากจะมีความรู้เรื่องเหล่านี้มากขึ้น เพราะหากผมรู้ ผมจะได้ช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาคนอื่นๆ ได้ แม้ว่าผมจะเคยเป็นเด็กที่ครอบครัวมีความรุนแรงก็ตาม แต่ก็ยังมีเพื่อน น้องๆ อีกหลายคนที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ นั้น มันเลยเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้สนใจเรื่องสิทธิมากขึ้น"


 


หลังจากนั้น เขาจึงเข้ามาทำกิจกรรมกับกลุ่มเยาวชนในหมู่บ้าน


 


 "การเข้ามาครั้งแรกคือ มาเรียนพิมพ์ดีด และมาเข้าค่ายทำกิจกรรม ได้เจอเพื่อนๆ ได้นำเกม และมีอบรมเรื่องสิทธิเด็ก ความสนุกจากการทำกิจกรรมทำให้ได้ความรู้ และทักษะหลายเรื่อง แม้ที่กลุ่มจะมีเด็กผู้ชายไม่มากแต่ผมก็พบว่า เด็กหญิงก็ทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนกัน มีความสามารถ ด้วย"


 


 "กลุ่มอาศัยบ้านของพี่ผู้ก่อตั้ง  เป็นกระต๊อบเล็กๆ หลังคามุงจาก และไม้ไผ่ล้อมรอบ พวกเรามารวมตัวทำกิจกรรมที่นี่ทุกวัน ทุกอาทิตย์ ที่นี่จึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ของพวกเราทุกคน"


 


 "ด้วยความสนุกและการได้พบปะเพื่อนๆ ทำให้ผมไม่มีโอกาสไปช่วยงานที่อู่ จนสุดท้ายผมก็เริ่มห่างๆ งานที่อู่ นอกจากนั้นผมและพี่ๆ เพื่อนๆ ในชุมชนได้ร่วมกันตั้งกลุ่มละครขึ้น เพื่อไปแสดงละครรณรงค์เรื่องสิทธิเด็กเอดส์ในชุมชน เช่น ตลาด งานวัด งานประจำปีที่จังหวัด สนุกมาก ได้เรียนรู้หลายอย่างมากกว่าอยู่ในโรงเรียน"


 


การทำกิจกรรมทำให้เขารู้สึกสนุก ได้พบปะเพื่อนๆ และได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ซึ่งเป็นที่มาในการที่เขาจะเลือกเส้นทางการทำงานเพื่อผู้อื่น


 


"นับจากการเริ่มเข้ามาทำกิจกรรมตอน อายุ 14 ปี ผมได้พบ ได้เห็นอะไร หลายๆ ได้เข้าค่าย เจอเพื่อนๆ พี่ๆ ต่างท้องถิ่น ได้เห็นความหลากหลายของคน ผมจึงมีความฝันว่า ผมจะทำอย่างนี้ตลอดไป ผมตั้งเป้าไว้ว่าถ้าเรียนจบ ม.3 ผมจะเรียนต่อที่โรงเรียนประจำตำบล เพราะเรียนที่นี้ใกล้บ้าน และมีเวลามาทำกิจกรรมที่กลุ่มด้วย การเรียนไม่ค่อยมีปัญหา เพื่อนทุกคนช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี บางเทอมการเรียนตก ครูก็จะเรียกไปดุด่า ว่า ทำกิจกรรมมาก ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะผมคิดว่ามาทำกิจกรรมได้มากกว่าที่เรียนตั้งมากมาย ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่า ในโรงเรียนจะสามารถทำให้ผมอยู่ร่วมกับสังคมได้หรือไม่ ผมมีคำถามกับการเรียนในระบบ และเชื่อว่า การเรียนรู้สังคม ผ่านการทำงานที่กลุ่ม ได้ทำให้รู้เท่าทันสังคม มีทักษะในการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เผชิญ และยังได้ช่วยเหลือเพื่อนๆ คนอื่นๆ ให้รู้จักสิทธิของตัวเอง รู้จักทักษะชีวิต และสามารถรู้เรื่องต่างๆ ที่ผมสามารถแบ่งปันแก่ผู้นั้นได้" 


 


 "พอใกล้จะเรียนจบ ม.6 ผมตัดสินใจไม่สอบเอนทรานซ์ เพราะตั้งใจไว้ตั้งแต่ ม.4 แล้ว แต่ท้ายแล้วครูก็ซื้อใบสมัครให้เข้าสอบ ผมสอบแต่ไม่ส่งผลคะแนนเอนฯ แม้ว่าคะแนนที่ได้จะสามารถเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยปิดได้ก็ตาม"


 


 "ผมตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยเปิดและทำกิจกรรมไปด้วย เพราะผมคิดว่าหากไปเรียนในมหาวิทยาลัยปิดคงไม่มีโอกาสทำกิจกรรมที่มีบรรยากาศเก่าๆ แบบนี้ และหากไม่มีชีวิตหรือตายไปคงเสียใจที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมจึงมั่นใจว่า เส้นทางที่เลือกนี้ จะเป็นสิ่งที่ภูมิใจสำหรับตัวเอง และผมก็มีความสุขที่ได้เลือกทางนี้"  


           


ชีวิตของเขา ทำให้ผมนึกถึงคนหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน  การเลือกทางเดินของเขาอาจเป็นสิ่งที่เกิดจากพื้นฐานประสบการณ์ ความเชื่อในบางสิ่งของเขา ทว่าการที่จะเชื่อบางอย่าง จะตัดสินใจบางสิ่ง อาจต้องให้เวลาในการคิดเพื่อพร้อมสำหรับการเผชิญทางเดินใหม่ๆ ที่อาจมีทั้งสุขและทุกข์ผสมกันไป


 


ดูเหมือนเขาเป็นคนจุดประกายให้ผมได้ตั้งคำถามกับระบบกฎเกณฑ์ของสังคม กรอบปฏิบัติต่างๆ ที่วัยรุ่นถูกสั่ง ถูกกำหนดชีวิตจากผู้มีอายุมากกว่า


 


ผมเองก็เริ่มที่จะทบทวนและถามตัวเองเหมือนกันว่า ชีวิตของผมทุกวันมีความหมายเพียงแค่การเรียนในห้องเรียน เรียนพิเศษ ดูหนัง เดินห้างช้อบปิ้ง เที่ยวผับ พอเรียบจบก็หาที่ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ ….เท่านั้นหรือ


 


ผมเริ่มรู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร……


 


เพราะผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งในความคิดของเขา ที่คอยช่วยตั้งคำถามให้ได้คิดและหาทางออก และผมก็เชื่อมั่นในการตัดสินใจในวิถีทางของเขา ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมก็คงจะอยู่เป็นเครื่องมือช่วยเขาคิดและตั้งคำถามต่อไป…….ก็ผมเป็นเพียงความคิดบางส่วนของเขาเท่านั้นเองแหละ.