Skip to main content

"เวร เอ๊ย กรรมตามทันซะแล้ว"

คอลัมน์/ชุมชน









http://www.siamzone.com/movie/m/3298/poster


 


 


 


จันทน์กะพ้อ


 


คงสยองขวัญน่าดูถ้าบังเอิญเช้าวันหนึ่งมี "คนที่คุณก็ไม่รู้ว่า ใคร" อาสาปลุกคุณตื่นจากห้วงความฝันอันแสนหวาน  ด้วยปลายเท้าที่หุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบยี่ห้อ ‘NIKE’ แถมยังตามติดคุณไปตลอดทั้งวัน ไม่ว่าคุณจะขึ้นเขาหรือลงห้วยด้วยท่าทางยียวนกวนโอ๊ย...


 


อหิงสา...จิ๊กโก๋หน้ามันเจอะกับ "คนที่เขาก็ไม่รู้ว่า  ใคร" เข้าให้ในวันหนึ่งพร้อมกับคำแนะนำตัวที่ฟังดูแปร่งๆ ว่า  มันคือ "เวรกรรม" ของเขา


 


แน่นอนว่า  คนรุ่นใหม่ผู้มีฉายาว่า  "จิ๊กโก๋หน้ามัน"  ต้องไม่เชื่อในลมปากของผู้มาเยือน


ก็มันฟังดูน่าไร้สาระ  ที่อยู่ดีๆ ก็มีใครโผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบมาบอกว่า  เป็นเวรกรรมของเรา  และภารกิจของเขาก็คือ ทำอะไรรุนแรงกับเราอย่างไม่ยั้ง  โดยให้เหตุผลว่า  เราจำต้องเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่แย่ๆ  ซึ่งจะเปลี่ยนแปรไปในแต่ละวันเพื่อชดใช้กรรมที่เราเคยทำไว้


 


ไอน์สไตน์...ผู้เชื่อและใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของเหตุและผลก็พบกับ "เขา" เช่นกัน "เวรกรรมของไอน์สไตน์"  สวมชุดวอร์มสีเหลือง  ผมยาว ท่าทางเป็นมิตร  เจอ "ผู้รับกรรม"  ทีไร เป็นต้องยิ้มกว้างๆ ให้ทุกครั้ง


 


ส่วนอุโฆษ...ไม่เคยเจอ "เวรกรรมของเขา" แต่อย่างใด  ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า  เขาไม่เคยสร้างเวรสร้างกรรมมาก่อนเลย  หรืออาจเป็นไปได้อีกเช่นกันว่า  ยังไม่ทันถึงเวลาที่ต้องทำความรู้จักกับผู้มาเยือนที่น่าสยองขวัญ  อุโฆษก็ดันชิงลาโลกไปเสียก่อน  ซึ่งความน่าสนใจต่อมาอยู่ตรงที่  หลังจากอำลาความเป็นมนุษย์ปุ๊บ  อุโฆษก็ผันตัวเองไปเป็น "คนที่คุณก็ไม่รู้ว่า  ใคร" ของคนที่เป็นปัจจัยทำให้เขาลงมือปลิดชีพตัวเองปั๊บ...


 


คุณคงจะหายใจทั่วท้องมากขึ้น  เพราะฉันกำลังจะบอกว่า  กลุ่มวัยรุ่นเจ้าของเรื่องราวที่น่ากังขาทั้ง 3 คน ข้างบนนั้นเป็นเพียงตัวละครหลักของหนังไทยเรื่อง "อหิงสา  จิ๊กโก๋มีกรรม" ที่มีชีวิตโลดแล่นภายใต้การกำกับของผู้กำกับฝีมือดี กิตติกร เลียวศิริกุล  หากใครยังจำได้เขาคนนี้เองที่เคยทำหนังที่พูดถึงชีวิตวัยรุ่นได้อย่างสะใจใน "โกลคลับ เกมล้มโต๊ะ" เมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา


 


เทียบระหว่าง "โกลคลับ เกมล้มโต๊ะ"  กับ "อหิงสา  จิ๊กโก๋มีกรรม"  ต้องถือว่า  กิตติกร ตั้งคำถามกับชีวิตของคนในมุมกว้างมากขึ้น  จากที่เคยมุ่งไปที่เรื่องของวัยรุ่น  มาวันนี้เขาเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวของคนในสังคมที่มีความผูกพันกับความเชื่อเรื่องเวร-กรรมหรือ/และเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 2 อย่าง


 


อีกหนึ่งอย่างที่อยากจะเอ่ยชมสำหรับ "อหิงสา  จิ๊กโก๋มีกรรม"และกิตติกร ก็คือ การเลือกที่จะตั้งคำถามโดยที่ไม่ตอบคำถาม  ปล่อยให้คนดูเก็บเรื่องราวทั้งหมดกลับไปคิดเองแบบความคิดใครความคิดมัน  ซึ่งความคิดแบบส่วนตัวๆ นี่เองที่น่าจะนำไปสู่คำตอบอันหลากหลาย  หรืออาจจะนำไปสู่คำถามใหม่ที่ถูกตั้งขึ้นมารายล้อมประเด็นที่หนังกรุยทางไว้ให้  อย่างเรื่องเวร-กรรม,วิทยาศาสตร์ รวมทั้งความต่าง, ความเหมือน, ความสัมพันธ์ ฯลฯ ของทั้ง 2 เรื่องที่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรา  แต่มีเพียงคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่รู้ซึ้งและเข้าถึงเรื่องราวของ "มัน" อย่างกระจ่างแจ้ง


 


สำหรับฉันผู้ไม่เชี่ยวชาญและไม่เคยสนใจที่จะตั้งคำถามหรือค้นหาความหมายที่แท้จริงของเรื่องราวที่ว่า  ก็ได้นำสิ่งที่ผู้กำกับพูดทิ้งไว้ในหนังมาคิดต่อกับเขาเหมือนกัน 


 


คำตอบน่ะไม่มี...จะมีก็แต่คำถามอย่างเช่น  สมมุติว่าเราสร้างเวรสร้างกรรมกับอะไรสักอย่างหนึ่งไว้  เป็นไปได้ว่า  เขาจะต้องมาทวงสิ่งที่เราทำกับเขาไว้ (ไม่ว่าจะในชาตินี้หรือชาติหน้า) แล้วการที่เขามาทวงคืนกับเรา  เท่ากับเขาต้องทำให้เราเจ็บปวดไม่ทางกายก็ทางใจ เเล้วอย่างนี้ไม่เท่ากับว่า  เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมกับเรา (เพราะเขาทำให้เราเจ็บปวด) ทับซ้อนสิ่งที่เขามาทวงเราคืนหรืออย่างไร??


 


คำถามต่อไปก็คือ  การที่บอกว่า ฆ่าสัตว์นั้นผิดศีล  แล้วระหว่างคนฆ่ากับคนกิน คนไหนมีความผิดมากกว่ากัน  อีกอย่างถ้าเราไม่ฆ่า  เราจะหาโปรตีนธรรมชาติที่สามารถทดแทนโปรตีนที่ได้จากเนื้อหมู, ไก่, ปลา  ฯลฯ อย่างสมบูรณ์ได้หรือไม่  และถ้าเราไม่กินเนื้อสัตว์  ร่างกายของเราจะยังมีการเจริญเติบโตที่สมวัยพร้อมทั้งมีความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้หรือไม่  ถ้าไม่แล้วทางออกที่ดีและประนีประนอมที่สุดสำหรับกรณีนี้อยู่ตรงไหน??


 


อีกคำถามก็คือ ถ้าเราทำบุญ  ผลบุญจะส่งผลในชาตินี้หรือชาติหน้า  เช่นเดียวกันหากเราทำบาป  ผลบาปจะตามทวงคืนกับเราเอาชาตินี้, ในนรกหรือชาติหน้า  แล้วการพิจารณาช่วงเวลาที่เราจะได้รับทั้งผลบุญและผลบาปนั้นมีกฎเกณฑ์ตายตัวหรือไม่???


 


คำถามสุดท้าย  ในช่วงเวลาที่เราตกอับเพราะรับกรรมอยู่นั้น  หากเราพยายามต่อสู้ด้วยความขยันและความอดทน  เราจะมีความสามารถในการเอาชนะกรรมในปริมาณสัดส่วนเท่าใด...ถ้าไม่มีโอกาสชนะ เราจะพยายามไปทำไม  หรือถ้ามีโอกาสชนะ  ต่อไปเราจะพูดว่า  ความขยันและอดทนเป็นหนทางหนึ่งในการต่อสู้กรรมที่กำลังเกาะอยู่ข้างหลังเราได้หรือไม่??


 


คำถามทั้ง 4 ข้างต้น  เป็นผลพลอยได้จาก "อหิงสา  จิ๊กโก๋มีกรรม" ที่แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีคำตอบ  แต่อย่างน้อยฉันก็มีโอกาสได้ตั้งคำถาม  และยังได้รู้อีกว่า  การดำเนินชีวิตของตัวเองยังขาดความเต็มแน่นในการเรียนรู้เรื่องราวที่ผ่านมาจากการตั้งคำถามของตัวเองอีกมากมายหลายเรื่อง


 


...หรือทุกวันนี้  ฉันใช้เวลาในการตอบคำถามที่คนอื่นตั้งให้  พร้อมกับเรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่พ้นจากตัวเองมากเกินไป  จนเหลือเวลาในการตอบคำถาม  เรียนรู้และทำความเข้าใจในตัวเองน้อยเต็มที