สอนหลานให้อ่านอังกฤษ (ตอนที่ 6)
คอลัมน์/ชุมชน
วิธีสอนภาษาอังกฤษ (2)
ฟังวิทยุ เจ้าหลานชายทั้งสองต้องตื่นแต่เช้าทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ครับ ก็จะมีเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงที่เขาเตรียมตัวเพื่อไปรอขึ้นรถโรงเรียน ก่อนปลุกพวกเขาลุกขึ้นมา ผมจะเปิดวิทยุไว้ก่อน โดยเลือกสถานีที่มีการพูดมากๆ เช่น รายการข่าวหรือทอล์กโชว์ และจะเปิดเอาไว้จนเขาเดินออกจากบ้าน
ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมครับ อย่างน้อยก็หวังว่าแก้วหูของพวกเขาจะมีความไวต่อคลื่นเสียงภาษาอังกฤษมากขึ้น แล้วระบบประสาทน่าจะจับความได้ง่ายขึ้นตามมา ผมก็หวังว่าจะช่วยให้พวกเขาฟังภาษาอังกฤษได้รู้เรื่องเร็วขึ้น และน่าจะช่วยให้พูดได้ใกล้เคียงฝรั่งมากขึ้นด้วย ก็ได้แต่หวังล่ะครับ เพราะจริงๆ จะเป็นอย่างไรก็พิสูจน์ไม่ได้
สิ่งที่ควรระวังสำหรับการเปิดวิทยุในตอนเช้าก็คือ อาจจะรบกวนเพื่อนบ้านนะครับ โดยเฉพาะคุณผู้อ่านที่อยู่ห้องแถวทาวน์เฮาส์ เพราะเพื่อนบ้านอาจจะเพิ่งเข้านอนก็ได้
คุณผู้อ่านอาจจะถามว่าทำไมพวกผมไม่คุยกันเป็นภาษาอังกฤษล่ะ? เป็นคำถามที่ดีมากครับ และเหมือนกับที่นักวิชาการอเมริกันบางคนแนะนำให้ผู้ปกครองต่างชาติพูดภาษาอังกฤษในบ้าน เพื่อช่วยให้ลูกหลานพัฒนาด้านภาษาได้เร็วขึ้น ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมว่าวิธีนี้ทำได้ยากสำหรับคนไทย เพราะว่าภาษาอังกฤษของผู้ปกครองก็ไม่ดีพอที่จะเป็นตัวอย่างให้เด็กเลียนแบบได้ การเรียนภาษานี่เป็นเรื่องการเลียนแบบใช่ไหมครับ? ผมไม่อยากให้เจ้าหลานน้อยทั้งสองคนพูดอังกฤษแบบไทยๆ อย่างผมที่เขาเรียกว่า Tinglish ครับ (ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไรก็ลองเปิดอ่านดูที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Tinglish) อีกอย่างก็คือ เราจะรู้สึกเขินอายกันเองที่พูดคุยกันด้วยภาษาอื่น ทั้งๆ ที่เรามีภาษาที่เคยใช้กันมาตั้งแต่จำความได้ ขอโทษนะครับ เราไม่ชอบคนกระแดะใช่ไหมครับ?
บางคนอาจจะแนะนำให้เปิดโทรทัศน์ไว้ ก็น่าจะดีครับถ้าเด็กมีความรับผิดชอบสูง ปัญหาก็คือ เจ้าหลานน้อยทั้งสองคนนี้จะหันไปดูโทรทัศน์อย่างจริงจังโดยลืมสิ่งที่ต้องทำไปเกือบทันที ในช่วงอาหารเย็นเราก็เคยเปิดโทรทัศน์ไว้ค่อนข้างบ่อย อย่างที่ว่าแหละครับ เด็กจะหันความสนใจไปที่โทรทัศน์เกือบหมด ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนหน้านี้บอกว่าหิวข้าว อย่างนี้ นักการศึกษาอเมริกันบอกว่าไม่ควรทำอย่างยิ่ง เขาแนะนำว่าควรปิดโทรทัศน์ในขณะกินอาหาร และควรคุยกับลูกหลานในเรื่องการเรียนหรือทั่วๆ ไปที่สร้างสรรค์จะดีกว่า ดังนั้น การที่ผมเปิดวิทยุไว้ในช่วงอาหารเช้าก็คงจะไม่เข้าข่ายนี้นะครับ
สำหรับคุณผู้อ่านที่อยากลองเปิดวิทยุภาษาอังกฤษกรอกหูลูกหลานทุกวัน อาจจะลองหมุนหาคลื่นดูนะครับ เผื่อในท้องถิ่นของท่านอาจจะมีก็ได้ โดยเฉพาะแถวกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ๆ คุณผู้อ่านที่อยู่ต่างจังหวัดไกลปืนเที่ยงอาจจะต้องหาวิทยุที่มีคลื่นสั้น แล้วเปิดรับจากต่างประเทศ ส่วนมากมักเป็นตอนหัวค่ำ แต่ปัญหาก็คือ ไม่รู้จะเลือกฟังสถานีไหนดี เพราะมีภาษาอังกฤษหลายสำเนียงให้เลือก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน รักใครชอบใคร หรือฟังของใครได้ชัดที่สุด ก็ติดตามฟังคนนั้นแล้วกันครับ ส่วนใครที่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้ก็อาจจะเลือกเปิดฟังภาษาอังกฤษได้เช่นกัน แต่ผมรู้สึกว่าเสียงจากคอมพิวเตอร์ค่อนข้างเพี้ยนไปจากปกติ ระวังนะครับ ลูกหลานฟังรายการจากเน็ตบ่อยๆ อาจจะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงหุ่นยนต์ก็ได้
อ่านหนังสือให้ฟัง ในช่วงแรกที่เริ่มเข้าโรงเรียน อาจารย์ของหลานทั้งสองคนก็ช่วยเหลือมากเลยครับ อย่างหนึ่งก็คือให้ยืมหนังสือของชั้นต่ำกว่ามาอ่านที่บ้าน หนังสือพวกนี้จะมีทั้งเรื่องศัพท์ ปริศนา เกม หลายอย่างหลายแนวล่อหลอกเด็กให้อ่าน เนื่องจากเจ้าหลานน้อยทั้งสองคนยังอ่านภาษาอังกฤษไม่ได้ ผมก็เลือกบางเรื่องมาอ่านให้พวกเขาฟัง ไม่ยาวหรอกครับ เพราะหนังสือเด็กเขาพิมพ์ด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่กว่าปกติ และมีรูปประกอบทุกหน้า
บางครั้งก็ให้พวกเขาเลือกเรื่องที่อยากฟังเองแล้วผมเป็นคนอ่าน ในการอ่านผมก็พยายามเน้นจังหวะ มีเสียงหนักเบา หรือใส่อารมณ์ตามเรื่องนิดหน่อย เด็กๆ สนใจดีครับ และมารยาทดีด้วย ตั้งใจฟังโดยไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ ของผมเลย พอเจอคำที่ผมคิดว่าเขาน่าจะต้องใช้ ผมก็จะชี้ให้เขาดู และอาจจะแปลให้ฟังเป็นระยะๆ เมื่อจบเรื่องก็จะถามเขานิดหน่อยเพื่อทดสอบว่าพวกเขาจับความได้บ้างหรือเปล่า
วิธีนี้ได้ผลดีครับ พวกเขาเรียนรู้บางอย่าง เนื่องจากเป็นเรื่องง่ายๆ มีรูปประกอบชัดเจน จึงตามเรื่องได้ไม่ยาก นักวิชาการศึกษาของสหรัฐฯ สนับสนุนให้ผู้ปกครองที่มีลูกหลานตัวน้อยๆ ทำเช่นนี้บ่อยๆ จนเป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน ผมเห็นด้วยครับ ถ้าทำได้ ปัญหาที่คงจะมีสำหรับคนไทยก็คือ หายืมหนังสือฟรีได้ยาก แม้จะซื้อก็คงจะไม่ง่ายนัก และราคาหนังสือก็ไม่ถูกนะครับสำหรับเราๆ ท่านๆ แต่ที่สำคัญ เราไม่ค่อยมีเวลาครับ อ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง รวมทั้งพูดคุยกัน ก็ใช้เวลาร่วมครึ่งค่อนชั่วโมงแล้ว และคนที่กล่องเสียงไม่แข็งแรงก็คงจะเจ็บคอบ่อย คุณพ่อบ้านบางคนอาจจะชอบให้คออักเสบก็ได้ จะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการหาแอลกอฮอล์มาทาฆ่าเชื้อ แต่ทาภายในลำคอนะครับคุณแม่บ้าน ผมทนทำกิจกรรมนี้อยู่ได้ไม่ถึงสองเดือนก็ต้องหยุดแล้วไปเน้นวิธีอื่น
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกอย่างจากการอ่านหนังสือให้ลูกหลานฟังก็คือ พวกเขาอาจจะจำภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆ ของเราไปก็ได้ คงเป็นเรื่องธรรมดาของคนต่างชาติ โดยเฉพาะคนเอเชียที่มีสำเนียงเฉพาะตัวเวลาพูดภาษาอังกฤษ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ลิ้นอ่อนขึ้นเพื่อให้พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่ง เคยได้ยินผู้สันทัดกรณีบอกว่า ให้เอาขนมปังปิ้งถูลิ้น พร้อมกับกาแฟร้อนลวกลิ้นทุกเช้า จะพอช่วยให้ลิ้นอ่อนได้ เขาบอกให้ดูจากฝรั่งที่ทำอย่างนี้ทุกวันจึงพูดภาษาอังกฤษได้ดี แต่ผู้ที่มีประสบการณ์บอกว่าให้เอาแอลกอฮอล์ทาลิ้นทุกเย็น ช่วยได้แน่นอน 100% เขาบอกว่าให้ดูจากวงเหล้าที่มีฝรั่งกินด้วยสิ คนที่ปกติพูดอังกฤษไม่ได้ แต่พอเหล้าเข้าปากก็พูดอังกฤษได้ปร๋อ จนฝรั่งงง
กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่าครับ หากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของคุณผู้อ่านต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตได้ ก็สามารถหาเปิดหนังสือเด็กมาอ่านให้ลูกหลานฟังได้นะครับ ผมขอแนะนำให้เปิดอ่านเฉพาะของฟรีเท่านั้นก็พอครับ การอ่านจากคอมพิวเตอร์คงช่วยดึงดูดความสนใจของเด็ก "ดิจิทัล" ได้มากขึ้น และคงจะได้รสชาติไปอีกแบบหนึ่ง คือในการเปิดแต่ละหน้า ต้องรอให้เครื่องโหลดมาเป็นนาที ก็เหมือนกับมีเวลาให้เราลุ้นไปกับตัวละครในเรื่อง นี่เป็นการคิดในแง่บวกนะครับ จะได้ไม่เครียด
ส่วนผมเป็นเฒ่า "แอนะล็อก" ชอบที่จะเปิดอ่านจากหนังสือจริงๆ มากกว่าครับ