Skip to main content

ตรงเส้นขอบฟ้า...ของ..ดร.ปาริชาต

คอลัมน์/ชุมชน

 



ภาพจาก www.raklukefamilygroup.com


 


น้ำตาฟ้า


 


"สึนามิ" ภัยพิบัติใหญ่หลวงที่ธรรมชาติสำแดงให้มวลมนุษยชาติตระหนักถึงคำว่า  "การเอาคืนของธรรมชาติ"   ฉัน คุณ หรือว่าใครอีกหลายคน มิได้เป็นผู้สูญเสียโดยตรงจากมหันตภัยครั้งนี้ เรารับรู้เรื่องราวความเจ็บปวด หวั่นวิตก  ความสูญเสียร่วมกันผ่านข่าวสารจากสื่อมวลชน ฉันหดหู่ เครียด เศร้าทุกคราที่ได้เห็นภาพอันน่าหดหู่ของศพที่กองกันล้นหลาม หาที่เก็บไม่พอ หนักเข้าเมื่อทนความหดหู่ไม่ได้  ฉันก็ปิดการรับรู้ข่าวสารนั้นเสีย


 


นี่ไงวิธีเยียวยาความเจ็บปวด  เศร้าหมอง ของคนที่อยู่นอกเหตุการณ์เศร้า ๆ แต่ละอย่าง 


 


หากแต่คนที่ต้องประสบชะตากรรมด้วยตนเองเล่า  เขาเยียวยาความเจ็บปวดนั้นอย่างไร  ที่สำคัญเขาได้พลังใจที่จะมีชีวิตสืบต่อไปได้อย่างไรกันหนอ


 


 "ดิฉันพยายามมีสติ  พยายามมองโลกในแง่ดี  เพราะรู้ว่าคิดไปก็ทุกข์ใจ ในเมื่อถึงอย่างไร วันหนึ่งร่างกายเราก็ต้องสูญหาย  หรือถึงแม้ว่าจะเจอร่างของทุกคนเราก็ต้องนำมาเผาอยู่ดี " 


 


นี่คือคำบอกเล่าของ  ดร.ปาริชาต  สถาปิตานนท์ ที่บอกไว้ในหนังสือ  ตรงเส้นขอบฟ้า  ในนาม  สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์ เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกตอนที่ยังไม่พบครอบครัวของเธอที่สูญหายไปใน มหันตภัยสึนามิ 


 


ดร.ปาริชาต คือผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักให้กับภัยธรรมชาติครั้งนี้เหมือนกับใครหลายคนอีกครึ่งค่อนประเทศ  เธอสูญเสียครอบครัวที่หมายถึงคุณพ่อ ดร.ประสม  สถาปิตานนท์  ปรมาจารย์แห่งวงการกอล์ฟบ้านเรา  คุณแม่และน้องสาวร่วมสายโลหิตทั้งสองคน    


 


 ในชั่วข้ามคืน  เธอกลายเป็นคนไม่มีครอบครัวไปแล้ว


 


เธอบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างไว้ในหนังสืออย่างละเอียดนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเห็นข่าวคราวภัยพิบัติสึนามิ  ในขณะที่ครอบครัวของเธออยู่ในจุดเกิดเหตุ  เธอถ่ายทอดความยากลำบากต่อการที่จะแน่ใจว่า ครอบครัวของเธอไม่มีชีวิตอยู่แล้ว  ผ่านตัวอักษรที่ทำเอาคนอ่านอย่างฉันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบด้วยความอึดอัด คับข้องใจตามไปด้วย  กระทั่งเมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาทั้ง 4 ไม่อยู่กับเธอบนโลกใบนี้แล้ว  ร่างสังขารที่จะมายืนยันถึงความแน่ใจนั้นกลับยิ่งลำบากกว่าอีกหลายเท่า


 


เธอเวียนขึ้นลงกรุงเทพฯ-ภูเก็ต หลายต่อหลายครั้งทั้งที่หัวใจสลายไปแล้ว เพื่อหาร่าง 4 คนที่เธอรักยิ่ง  ท่ามกลางภาวะที่หมดสิ้นซึ่งกำลังใจและพลังชีวิตทั้งปวง  หากเธอต้องยืนหยัดอยู่ต่อไปเพื่อให้ได้พบพวกเขาและพาพวกเขากลับบ้าน


 


ฉันทราบดีว่า ความรู้สึกนั้นมันทรมานเพียงใด แต่ฉันไม่บังอาจบอกว่าเข้าใจถึงความทรมานของเธอหรอกค่ะ  เมื่อ 5 ปีที่แล้วฉันเองก็สูญเสียน้องชายไปด้วยอุบัติเหตุทางรถจักรยานยนต์  ด้วยวัยเพียง 20 ปี เขาคิดแล้วหรือว่าจะต้องตายด้วยวัยเท่านี้  เท่านี้เองหรือชีวิตคน  นั่นเป็นคำถามที่ยอมรับว่าจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีแวบขึ้นมาอยู่ทุกครั้งที่ระลึกถึงเขา กับความเจ็บปวดเหล่านั้น  กว่าจะผ่านมาได้ ในแต่ละวันคืน ฉันยังแทบจะลาโลกไปให้พ้นจากความทุกข์นั้นเสียด้วยซ้ำ นั่นคือเหตุการณ์ที่มีการตายเกิดขึ้น มีร่างสังขารมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี


           


แต่นี่เธอตระหนักชัดว่าบุคคลทั้ง  4  หาชีวิตไม่แล้ว  แต่ร่างกายของพวกเขากลับไร้ร่องรอย


 


จากกันแล้ว แต่ไม่เห็นอะไรเลย คงต้องทรมานกว่าร้อยเท่าพันทวีและเธอก็ต้องมาเผชิญหน้ากับความไม่มี  ไม่เจอ ท่ามกลางร้อยศพ พันศพ ครั้งแล้ว  ครั้งเล่า


 


ต่อให้เป็น  ดร. หรือเป็นใคร   หน้าที่การงานสูงส่งเพียงใด   ฉันว่าสามัญของความเป็นคน ที่จะต้องโศกเศร้าเสียใจในการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวงนั้น ทุกคนมีเท่ากัน อยู่ที่ใครจะมีวิธีคิดและจัดการกับความโศกเศร้านั้นอย่างไร


 


ถึงวันที่เธอพบร่างของคนทั้ง 4  ความโศกเศร้าไม่ได้จางหายไปหรือลดน้อยลงแต่อย่างใด  หากความรู้สึกที่มาแทนที่คือความปิติ เต็มตื้น ที่เธอจะได้พาครอบครัวของเธอกลับบ้านเสียที


 


"จากที่เคยมองว่า ความตายหมายถึงความโศกเศร้า มาบัดนี้กลับกลายเป็นว่าการพบร่างไร้ชีวิตของบุคคลผู้เป็นที่รักต่างหากเล่าที่นำมาซึ่งความดีใจ" เธอรำลึกถึงความรู้สึกในวันที่จะได้พาร่างของคนทั้ง 4 กลับสู่บ้านเสียที


 


ฉันละเลียดสายตาไปทั่วทุกตัวอักษรในหนังสือเล่มนี้  อยากให้ความรู้สึกชื่นชมปรารถนาดีและเป็นกำลังใจให้ส่งผ่านไปถึงเจ้าของตัวอักษรที่บอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น


 


"แม้สมาชิกในครอบครัวฉันจะจากไปด้วยมหันตภัยทางทะเล แต่ฉันก็ยังรักทะเล และยังรักที่จะมองไปตรงเส้นขอบฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างน้ำทะเลกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่   ยิ่งเวลาที่ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี ดวงอาทิตย์กำลังลาลับไปหรือกำลังจะโผล่ขึ้นมาใหม่ ตรงเส้นขอบฟ้า ณ จุดเปลี่ยนแห่งกาลเวลานั้นสวยงามจริง ๆ  แสงสีเงิน สีทอง และสารพัดสีซึ่งปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนั้น มันช่วยเติมพลังให้ฉัน เป็นความหวัง เป็นกำลังใจในการลุ้นต่อไป  หลังจากนั้นจะมีอะไรที่งดงามตามมาอีกบ้าง "


 


แน่นอนความทุกข์โศกจากการสูญเสียนั้นจะคลายคลาลงไปด้วยการเวลาเสมอ     แต่ไม่ว่าอย่างไรบาดแผลจากการสูญเสียนั้นก็ไม่มีวันจากเราไปไหนไกลเลย อยู่ที่ว่าเราจะแปรเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านั้นเป็นแรงขับให้เราไปในทิศทางใดต่างหาก


 


หากไม่มีความรัก ความผูกพัน รวมถึงความอบอุ่นจากครอบครัวที่มั่นคง  เธอคงมองตรงเส้นขอบฟ้า ได้ไม่สวยงามถึงเพียงนี้   


 


ฉันขอชื่นชมในความเข็มแข็งของเธอค่ะ