สอนหลานให้อ่านอังกฤษ (ตอนที่ 4)
คอลัมน์/ชุมชน
ทักษะเกี่ยวกับภาษา
ทักษะหลักๆที่เกี่ยวกับการเรียนภาษาคงจะมีสี่อย่างคือ การฟัง อ่าน พูด และเขียน ผมเรียงจากยากน้อยมายากมากนะครับ คุณผู้อ่านที่มีประสบการณ์ในการเรียนภาษาอังกฤษมาก่อนคงจะเห็นด้วยกับผมที่ว่า ทักษะสองอย่างแรกง่ายกว่าทักษะสองอย่างหลัง เพราะการฟังและอ่านเป็นการรับเข้ามา เราไม่ต้องคิดมาก ส่วนการพูดและเขียนที่ต้องส่งออกไปรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญหลายเท่า คิดแล้วคิดอีกก็พูดไม่ได้หรือเขียนไม่ออก สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนมาแล้วอาจจะรู้สึกว่าการอ่านง่ายกว่าการฟัง เหตุผลก็คือ เรารู้จักศัพท์และเคยอ่านภาษาอังกฤษมาบ้าง ตัวหนังสือไม่ค่อยเปลี่ยน ไม่ว่าคนอเมริกันหรือออสเตรเลียนก็ใช้คำและประโยคทำนองเดียวกัน เราจึงเข้าใจได้ค่อนข้างง่าย ในขณะที่สำเนียงพูดไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเรียกว่าร้อยพ่อพันแม่เลยครับ
คุณๆท่านๆที่เรียนหนังสือในเมืองไทยมาตั้งแต่เด็ก ต้องเคยฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยๆจากอาจารย์ของเราในระดับประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ก็เป็นสำเนียงที่เราคุ้นหูจนจำมาใช้ถึงบัดนี้ บางคนโชคดีได้ยินจากเจ้าของภาษา คือคนอังกฤษ ก็แปลกไปอีกแบบหนึ่ง หลายคนมักบอกว่าฟังยาก เพราะเรามักจะคุ้นเคยสำเนียงอเมริกันมากกว่า แหม ก็พี่ใหญ่นี่ครับ หันไปทางไหนก็เจอ ตัวอย่างเช่น หนังกลางแปลงสมัยก่อนจะต้องมีหนังข่าวของอเมริกันฉายก่อนหนังเรื่อง หนังฮอลลีวู๊ดก็มักมีเสียงในฟิล์มหลุดออกมาเป็นประจำ เพราะคนพากย์ไม่ทัน ในจังหวัดใหญ่ๆก็มีสำนักข่าวสารอเมริกันที่มีหนังสารคดีให้ดู รวมทั้งสมาคมนักเรียนเก่าอเมริกันที่เปิดสอนภาษาอังกฤษ เล่นปูพรมกันต่อเนื่องยาวนานอย่างนี้จะไม่ให้คนไทยคุ้นเคยสำเนียงอเมริกันได้อย่างไร พอได้ฟังคนชาติอื่นพูดภาษาอังกฤษก็เลยคิดว่าสำเนียงไม่ถูกต้อง อย่างนี้ภาษาการตลาดเขาเรียกว่า "แบรนด์ลอแยลตี้" หรือเปล่าครับ?
คุณผู้อ่านที่เคยได้ยินภาษาอังกฤษสำเนียงคนชาติต่างๆ ไม่ว่าอินเดียไปจนถึงแถวอาฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ไปจนถึงแคนาดา คงจะรู้สึกพิศวงงงงวยว่าทำไมภาษาอังกฤษจึงมีหลากหลายสำเนียงได้ขนาดนี้ นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคน รวมทั้งผมด้วย มีปัญหาในการฟังและพูดภาษาอังกฤษมาโดยตลอด เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเลียนสำเนียงของใครดี แม้หลายคนจะบอกว่าสำเนียงอเมริกันมาตรฐานที่สุดเพราะแพร่หลายไปทั่วโลก ดูได้จากข่าวโทรทัศน์ หนัง และเพลง ที่เป็นของอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ แต่คนอเมริกันเองก็ยังบอกว่าพวกเขาที่อยู่ในแต่ละภาคพูดคนละสำเนียงนะครับ ใครที่ว่าคุ้นเคยกับสำเนียงอเมริกันดีลองมาฟังชาวบ้านคนดำในภาคใต้ของอเมริกาพูดซิครับ ถ้าฟังเข้าใจในครั้งแรก ผมจะยอมรับเลยว่าสำเนียงอเมริกันมาตรฐานที่สุด
กลับมาเรื่องทักษะทางภาษาต่อนะครับ ผู้รู้เขาว่าในการเรียนภาษาใหม่ควรจะเริ่มที่การฟังก่อน การอ่านจึงค่อยตามมา ผมว่าก็น่าจะจริงนะครับ อย่างน้อยก็เริ่มที่เรื่องยากน้อยก่อน คือเป็นการรับเข้ามา จับใจความได้มากหรือน้อยก็ไม่ค่อยเครียดนัก โดยเฉพาะถ้าเราไม่ต้องพูดตอบออกไป แต่ในสภาพความเป็นจริงที่เจ้าหลานทั้งสองต้องเจอในโรงเรียนที่ประเทศสหรัฐฯก็เลือกไม่ได้ พวกเขาต้องเรียนรู้ทักษะทั้งสี่อย่างไปพร้อมกัน ยกเว้นการเขียนที่มีน้อยหน่อย ในการสอนภาษาอังกฤษให้พวกเขาผมจึงเน้นทักษะสองอย่างแรกเป็นพิเศษ คือ การฟังและอ่าน ผมทำแบบมวยวัดครับ ไม่มีวิธีที่ชัดเจนหรือมาตรฐาน คว้าอะไรได้ก็ทำเลย อย่างที่เขาว่าคงจะดีกว่าอยู่เฉยๆ และผมพยายามให้กิจกรรมที่ทำมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งในสี่อย่างข้างต้น ผมมองอย่างนี้ครับ ความรู้โดยทั่วไปก็เหมือนตัวต่อสามมิติ เราอาจจะไม่เห็นความสัมพันธ์ของแต่ละเรื่องแต่ละชิ้นที่เราเรียนรู้ในตอนนี้ แต่ต่อไปเมื่อเราเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้แต่ละเรื่องที่กระจัดกระจายอยู่ในตอนแรก จะมาเกาะเกี่ยวยึดโยงกันมั่นคงขึ้น ทำให้เราเห็นภาพรวมชัดเจนและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
คุณผู้อ่านต้องไม่ลืมนะครับว่าการที่ผมสอนภาษาอังกฤษให้หลานทั้งสองเป็นการสอนเสริมทางโรงเรียน ผมถือว่าทางโรงเรียนเป็นขาประจำที่กำลังปูพื้นฐานด้วยวิธีที่ถูกต้องมาตรฐาน คือทำตามลำดับขั้นตอน ส่วนผมเป็นแค่ขาจร คอยช่วยขนดินยกหินถมที่บ้าง หรือเก็บขยะที่เกะกะออกบ้าง หรือช่วยเดินย่ำบดอัดดินในบางครั้ง
เห็นแล้วใช่ไหมครับว่างานผมมั่วไปมั่วมา แต่ก็มีวัตถุประสงค์ชัดเจนนะครับ คือ ช่วยเสริมในการปูพื้นฐานทักษะภาษาอังกฤษให้เจ้าหลานน้อยทั้งสองคน