สิ้นหวัง
คอลัมน์/ชุมชน
เดือนพฤศจิกายนนับเป็นเดือนเยาวชนแห่งชาติได้เลย
มีการเผยแพร่งานวิจัยที่บ่งชี้ว่ารายการทีวีประเทศไทยเป็นอันตรายต่อเยาวชนอย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่หมกมุ่นทางเพศ เวลาที่เยาวชนใช้ไปกับหน้าจอทีวี หรืออันตรายต่อสุขภาพกายคือโรคอ้วน
นิสิตจุฬาฯ ฆ่าตัวตาย 2 คน เป็นการกระโดดตึกทั้งคู่ นั่นคือใช้วิธีที่เฉียบขาดและรุนแรงหนึ่งในนั้นเป็นนักศึกษาแพทย์
รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ออกนโยบายไฟส่องหน้า อันที่จริงมิใช่นโยบาย เป็นเพียงการอ้างว่าสามารถป้องกันเยาวชนมิให้เสียตัวในคืนลอยกระทง
สุดท้ายคือวัยรุ่นในฝรั่งเศสก่อจลาจล ข่าวว่ากลุ่มที่ก่อการจลาจลเป็นวัยรุ่นมุสลิมซึ่งได้รับการเลือกปฏิบัติจากรัฐเสมอมา
ข่าวสุดท้ายหลายคนอาจจะคิดว่าไม่เกี่ยว แต่ผมว่าเกี่ยว ด้วยความเชื่อว่าวัยรุ่นไทยที่ด้อยโอกาสก็จะก่อจลาจลในเวลาไม่นานหากรัฐยังเพิกเฉยกับการปฏิรูปการศึกษา
เช่น ไม่โอนอำนาจการศึกษาให้ส่วนท้องถิ่น (อ้าว!)
หรือ ให้ภรรยากราบเท้าสามีก่อนนอน (อ้าว!)
สองเรื่องหลังอาจจะไม่เกี่ยวกับเยาวชนโดยตรง แต่ก็เกี่ยวอยู่บ้าง เรื่องสถาบันการศึกษาและสถาบันครอบครัวจะไม่เกี่ยวกับเยาวชนได้อย่างไร
เรื่องโอนอำนาจการศึกษาไปส่วนท้องถิ่นเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก หากทำได้ผลและถูกวิธี นี่คือการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาขนาดใหญ่ที่สามารถช่วยให้เยาวชนของเรามีสติปัญญาดีขึ้นและปัญหาเยาวชนลดลง เปรียบเหมือนการปฏิรูประบบสาธารณสุขด้วยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หากไม่แก้ไขโครงสร้างใหญ่ของระบบก็ยากที่จะส่งผลสะเทือนถึงผู้ป่วยและนักเรียนเป็นรายบุคคลได้
เรื่องภรรยากราบเท้าสามีก็เกี่ยว หากไม่เปลี่ยนรัฐมนตรีบางคนเห็นท่าสถานการณ์เยาวชนและสังคมจะลำบาก เพราะไม่มีคนทำงานด้านนโยบาย
อันที่จริงยังมีข่าวเล็กๆ อีกข่าวคือเรื่องกระทรวงไอซีทีคิดควบคุมการ์ตูนลามก แต่ครั้งนี้จะรวมถึงการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังหลายเรื่องที่วางจำหน่ายอย่างถูกลิขสิทธิ์ เพราะหลายเรื่องที่ว่านั้นมีภาพล่อแหลมเอาการอยู่ เดือดร้อนถึงเยาวชนจำนวนมากออกมาต่อต้านคัดค้าน
สุดท้ายคือข่าวน่าเสียใจเมื่อร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่แห่งหนึ่งดื้อรั้นจะแสดงบุหรี่ ณ จุดขาย โดยยกข้อกฎหมายขึ้นมาอ้าง โดยละเลยจิตสำนึกทางสังคม เป็นวิธีการเดียวกับที่ผู้มีอำนาจทุกองค์กรทุกที่ประชุมนิยมใช้นั่นคือเมื่ออยากได้อะไรก็ยกกฎหมายขึ้นอ้าง เมื่ออยากหลบเลี่ยงกฎหมายก็จะยกวลี "รัฐศาสตร์สำคัญกว่านิติศาสตร์" ขึ้นอ้าง เดือดร้อนถึงเยาวชนจำนวนมากออกมาต่อต้านคัดค้าน
จะเห็นได้ว่าเพียง 1-2 สัปดาห์มีเรื่องราวที่เกิดแก่เยาวชนเกิดขึ้นมากมาย การแก้ไขปัญหาไปทีละเรื่องคงเป็นหน้าที่ของใครบางคน แต่การแก้ไขระดับนโยบายเคลื่อนสังคมต้องเป็นหน้าที่ของใครบางคนด้วย ซึ่งมีปัญหาทั้ง 2 กรณี
การแก้ไขปัญหาทีละเรื่องมักเกิดความขัดแย้ง เกิดคู่ตรงข้าม เกิดความแตกแยกทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระอย่างไฟส่องหน้าเยาวชนก่อนเข้าโรงแรม หรือเรื่องมีสาระอย่างการตั้งบุหรี่ ณ จุดขาย
ที่บ้านเราขาดแคลนคือ "กลไกการพูดคุย" เราไม่มีกลไกการพูดคุยให้เกิดทางออกเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เราไม่มีวิธีจัดการให้เกิดการพูดคุยนั้น หลายๆครั้งคล้ายจะมีการพูดคุยแต่ก็มักเป็นการพูดคุยโดยที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ไม่ครบองค์ หรือครบองค์แต่เป็นการพูดคุยที่มีวัฒนธรรมเชิงอำนาจแฝงอยู่
กล่าวคือพูดได้พูดไป ผู้มีอำนาจตัดสินใจจะเอาแบบนี้ก็ต้องแบบนี้
การแก้ไขปัญหาระดับนโยบายก็มีปัญหาในตัวของมันเอง หากยึดถือโครงสร้างสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของอาจารย์ประเวศว่าการใหญ่ใดๆต้องอาศัยการเมือง วิชาการ และภาคประชาชนร่วมมือกัน นโยบายเยาวชนก็น่าจะใช้โครงสร้างนี้ได้ ประเด็นคำถามจึงเป็นว่าการเมืองคิดอย่างไร วงวิชาการคิดอย่างไร และภาคประชาชนคิดอย่างไร
ปัญหาเยาวชนจำนวนทั้งหมดสามารถไล่กลับไปได้ถึงระบบการศึกษาที่พิการแล้วของบ้านเราทั้งสิ้น เรื่องปฏิรูปการศึกษาหรือการถ่ายโอนอำนาจการศึกษาจึงเป็นคานงัดใหญ่ในการแก้ไขปัญหาเยาวชน
ที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่รู้ว่าฝ่ายการเมืองจะเอาอย่างไร