Skip to main content

นิพนธ์และหมู่บ้านที่เคยมีสีแดง

พ่อของนิพนธ์ถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตาเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก  ทหารบุกกันเข้ามาเต็มหมู่บ้านรวดเร็วรุนแรงราวพายุร้าย ตอนนั้นนิพนธ์อายุสี่ขวบ อาจจะโตพอที่จะรู้จักจำความแต่ก็เด็กเกินไปที่จำเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนั้น พ่อของเขากำลังเดินกลับมาจากหาปลาในลำธารใกล้หมู่บ้าน


 


เสียงตะโกนส่งสัญญาณร้องบอกข่าวร้ายดังก้องทั่วหมู่บ้าน คละเคล้ากับเสียงปืนที่สะท้อนกลับไปกลับมาในหุบเขา ทหารเจอพ่อของนิพนธ์ตอนที่กำลังเดินเข้าบ้านและกราดยิงอย่างไม่ลังเล นิพนธ์ได้ทันเห็นตอนที่พ่อของเขาถูกยิงพอดี เลือดสีแดงข้นไหลนองอยู่ตามทางเดิน พื้นหญ้าบริเวณนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือด เสื้อผ้าขาดกระจุย เครื่องมือหาปลาร่วงหล่นอยู่ใกล้ตัว


 


มันกลายเป็นความจำอันเลวร้ายที่เขาไม่มีวันลืมได้ แม้นว่าอยากจะลืมสักเพียงใดก็ตาม เขาตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งเสียใจ และหวาดกลัว วันดีคืนดีเขาก็หลับฝันถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นแม้นว่ามันจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม


 


หลังจากนั้นมา เขาก็กลายเป็นเด็กที่สติไม่อยู่กับร่องกับรอยมากนัก เขาจะตกใจกลัว ลนลานและร้องโวยวายอย่างตระหนกเมื่อเห็นคนใส่ชุดทหารหรือชุดตำรวจ


 


คนที่เสียใจและเจ็บปวดมากที่สุดคือแม่ของเขา เพราะนอกจากจะสูญเสียสามีไปแล้วลูกชายคนเดียวก็มีทีท่าว่าจะไม่สามารถเป็นผู้เป็นคนได้เหมือนคนอื่น แต่นั่นมันยิ่งทำให้เธอรักและห่วงนิพนธ์มากยิ่งขึ้นไปอีก บางครั้งเธอจะร้องไห้ไปด้วยเมื่อเห็นลูกชายของเธอมีอาการเช่นนั้น


 


นิพนธ์เป็นน้องสุดท้องของพี่สาวอีกสามคน พี่สาวสองคนนั้นแต่งงานไปแล้วและไปอยู่กับสามีที่จังหวัดอื่น อีกคนหนึ่งกำลังเรียนหนังสือในตัวเมือง สองสามเดือนจึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้ง จึงเหลือนิพนธ์อยู่กับแม่เพียงสองคน


 


นอกจากพ่อของนิพนธ์แล้วมีชาวบ้านป่าอีกหลายคนที่โดนฆ่าตาย และมันก็กลายเป็นตำนานที่ทรงพลังเล่าขานกันไม่รู้เบื่อสำหรับผู้ที่เติบโตขึ้นในรุ่นหลัง ๆ ของหมู่บ้าน เหมือนว่าผู้คนต่างถูกเรื่องราวนี้ร้อยรัดเข้าด้วยกัน ต่างร่วมอยู่ในความทุกข์ที่เกิดขึ้นคราเดียวกัน บางที อาจเป็นไปได้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในครานั้นก่อให้เกิดความผูกพันต่อกันของคนในชุมชนมากกว่าความสุขซึ่งวูบวาบฉาบฉวย แต่สำหรับแม่ของนิพนธ์แล้วเธอไม่เคยปริปากเรื่องนี้เลยสักคำเดียว


 


ฉันเป็นคนผ่านทางที่เผอิญพลัดหลงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้น เป็นระยะทางหลายกิโลเมตรจากทางแยกใหญ่ที่ฉันเริ่มเดินเท้าเพื่อไปหาเพื่อนซึ่งเป็นครูอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง แต่ทางแยกที่ไม่ได้มีป้ายบอกไว้ว่าแต่ละเส้นทางจะนำไปสู่แห่งหนใดทำให้ฉันไม่แน่ใจและในที่สุดก็เดินผิดทาง


 


ผู้ใหญ่บ้านอาสาจะไปส่งฉันยังหมู่บ้านที่ฉันต้องการ แต่ฉันหลงรักหมู่บ้านนี้ตั้งแต่เมื่อเริ่มเดินเท้าเข้ามาแล้ว ถนนลูกรังสีแดงซึ่งส่งกลิ่นหอม เนินเขา ไร่กาแฟ สายลมเย็นฉ่ำ และต้นมะละกอริมทาง สิ่งธรรมดาเหล่านี้ทำให้ฉันตกหลุมรัก


 


ดังนั้นฉันจึงบอกผู้ใหญ่บ้านไปว่าฉันไม่รีบด่วนอะไรมากที่จะพบเพื่อน และถ้าไม่ลำบากนัก ฉันอยากจะขอค้างที่นี่สักคืน


 


ผู้ใหญ่บ้านอนุญาตให้ฉันพักค้างที่บ้านของท่าน หากแต่ฉันบอกว่าอยากกางเต็นท์นอนริมลำธารมากกว่า แต่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าในฐานะเจ้าบ้านแล้วท่านจะไม่สบายใจถ้าฉันทำเช่นนั้น ฉันขอบคุณผู้ใหญ่บ้านอย่างจริงใจ และท่านก็บอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองหรือเกรงอกเกรงใจอะไรมาก


 


ผู้ใหญ่บ้านหาเหล้ามาให้ฉันดื่ม และว่า  "ที่นี่ทำเหล้าเอง เราจะกินเท่าที่เราอยากกิน   ทางราชการไม่สนหรอกว่าเราทำเหล้าเถื่อน เพราะพวกนี้ไม่อยากมายุ่งกับเราเลย"


 


เราคุยกันไปเรื่อย จากเรื่องนั้น ไปเรื่องนี้


 "ถ้าเธออยู่ที่นี่ต่ออีกสองสามวัน เธอจะรู้ว่าที่นี่ไม่มีวัด" ผู้ใหญ่บ้านกล่าว "ไม่ใช่ว่าเราไม่มีศาสนา เพียงแต่เราเห็นว่ามีอย่างอื่นที่สำคัญกว่าการสร้างวัด   และอีกอย่าง พวกสหายเราก็มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่ปี"


 


 "อย่างอื่นนี่อะไรครับที่สำคัญกว่าการสร้างวัด" พอฉันถามออกไปแล้ว ฉันจึงรู้ตัวว่าไม่ควรถามคำถามนี้ออกไป  


 


 "เมื่อการสู้รบจบสิ้นลง" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวต่อ "ทางการเขาก็ยกผืนดินที่นี่ให้เป็นที่ทำกิน มันเคยเป็นป่าสงวนมาก่อน" แรกทีเดียวผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่า "การสู้รบ" ที่ผู้ใหญ่บ้านกล่าวหมายถึงอะไร แต่พอฟังไปเรื่อย ๆ จึงได้รู้


 


 "หลายคนเพิ่งอพยพตามญาติพี่น้องเข้ามา คนที่นี่จึงมาจากหลาย ๆ จังหวัดแต่ก็เป็นญาติกันทั้งนั้น" ผู้ใหญ่บ้านยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด


 


 "คนสูงอายุที่นี่เกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่เคยเป็นสหายเก่า" ท่านผู้นำหมู่บ้านกล่าว แล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนสำนึกได้ว่าตนเองพูดมากเกินไป


 


 "เพื่อน ๆ พี่น้องของฉันตายไปหลายคน แต่ฉันรอดมาได้" เรื่องเล่าของผู้ใหญ่บ้านเข้มขึ้นเรื่อย ๆ   ฉันพยายามวาดภาพประวัติศาสตร์ในตอนนั้น 


 


"ตอนที่เรายอมมอบตัว เราคิดว่าการต่อสู้ได้ยุติลงแล้ว แต่ตอนนี้ผมบนหัวเปลี่ยนจากดำเป็นสีขาว  เราก็ยังต้องต่อสู้อยู่อีก" ผู้นำชุมชนเล่าอะไรต่าง ๆ ให้ฉันฟังอีกมากมาย ก่อนตบท้ายว่า


 


 "ในชีวิต ฉันฆ่าคนไปหลายคนแต่ก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น"


 


บรรยากาศใหม่ ๆ จากบ้านป่านำมาซึ่งความรื่นรมย์ซึ่งทำให้ฉันดื่มได้เต็มที่  เวลาเมาบางครั้งมันเหมือนตกอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ซาบซึ้งดื่มด่ำกับความคิดฝันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าที่แท้แล้วมันก็เป็นเพียงความคิดฝันชั่วครู่ชั่วคราว เรื่องเล่าจากท่านผู้นำแม้จะฟังเคร่งเครียดไปบ้างแต่ก็ผสมเข้ากันได้ดีกับรสแรงของสุรา ฉันจำไม่ได้ว่าหลับฟุบลงไปตอนไหน แต่ถึงกระนั้นก็ตามสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจากผู้ใหญ่บ้านยังคงจำหลักในความทรงจำและมันถูกตอกย้ำอีกครั้งเมื่อฉันได้เจอนิพนธ์


 


ฉันเจอนิพนธ์บริเวณใกล้ลำธารในตอนรุ่งเช้า เขาหันมามองฉันเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่สนใจฉันอีกเลยราวกับฉันเป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่ง ใบหน้าไร้เดียงสาของเขานั้นมีเครื่องหมายคำถามติดอยู่ตลอดเวลา ท่าทางลังเลของเขาบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจในโลกที่เขาอาศัยอยู่ซึ่งก็ทำให้เขาไม่อาจสื่อสารและสื่อความกับคนอื่นได้


 


ฉันพอรู้เรื่องราวของเขาจากเด็กคนอื่น ๆ เด็ก ๆ ในหมู่บ้านไม่มีใครรังเกียจที่จะเล่นกับนิพนธ์ แต่นิพนธ์กลับไม่สนใจไยดีมากนักที่จะเล่นตามประสาเด็ก ๆ กับเพื่อน ๆ


 


โดยประสบการณ์ ฉันเรียนรู้มาว่า เด็ก ๆ นั้นไว้ใจโลก เราสามารถผูกมิตรและเอาชนะใจได้ไม่ยากเพียงแต่ต้องใช้ความพยายามและอดทนบ้าง


 


ฉันนั่งลงใต้ต้นไม้และหยิบเอาเมาท์ออแกนจากระเป๋ามาเป่าเพื่อดึงดูดความสนใจของนิพนธ์ แล้วก็ได้ผล นิพนธ์หันมามองอย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันเป่าไปเรื่อย ๆ จนนิพนธ์เดินเข้ามาหา ฉันหยุดเป่าและมองเข้าไปในแววตาของนิพนธ์ มองหาริ้วรอยบาดแผลเมื่อครั้งอดีต


 


ฉันยื่นเมาท์ออแกนให้นิพนธ์ นิพนธ์รีรออยู่ชั่วครู่ก่อนหยิบมันไป "ลองเป่าดูสิ" ฉันบอก นิพนธ์เอาเมาท์ออแกนแนบกับริมฝีปากแล้วดันลมออกมาจนเกิดเสียงดัง นิพนธ์ทำท่าตกใจแล้วก็ยิ้ม


 


 "หนูชื่ออะไรครับ"


 "นิพนธ์" เขาตอบพร้อมยื่นเมาท์ออแกนคืนให้ฉัน ฉันเริ่มต้นเป่าเมาท์ออแกนอีกครั้ง โดยตั้งใจเป่าเป็นเพลงที่คิดว่านิพนธ์จะเคยได้ยินมาก่อน


 


 "รู้ไหมว่าเพลงอะไร"


 "เพลงช้าง" นิพนธ์หัวเราะ    ด้วยลักษณาการเช่นนี้จึงมีเพื่อนเป็นเด็กเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง  ได้มองเห็นด้านสวยของโลกที่รกร้างผ่านเด็กอีกคนหนึ่ง


 


 "น้าให้หนูนะ" ฉันยื่นเมาท์ออแกนให้นิพนธ์


 "น้าชื่ออะไร" นิพนธ์รับเมาท์ออแกนไป ฉันบอกชื่อของฉันออกไป


นิพนธ์ยังถามต่ออีกว่า "บ้านน้าอยู่ที่ไหนครับ"



--------


                                                                               


เมื่อฉันจะจากหมู่บ้านนั้นไป ฉันบอกกับตัวเองและสัญญากับนิพนธ์ว่าฉันจะกลับมาอีก มาฟังเพลงจากเมาท์ออแกนนั้นด้วย


 


 "น้าจะกลับมาฟังเพลงช้าง นิพนธ์เป่าได้ไหมครับ"


 "เป่าได้ครับ" นิพนธ์รับคำ


 


บัดนี้หลายปีมาแล้ว ฉันยังไม่เคยกลับไปหานิพนธ์และหมู่บ้านที่เคยมีสีแดงนั้นอีกเลย


นี่เป็นเศร้าใจอีกประการหนึ่งในชีวิตคนจรของฉัน


ได้แต่หวังว่าเด็กน้อยคนนั้นคงสบายดี.