สอนหลานให้อ่านอังกฤษ ตอนที่ 11
คอลัมน์/ชุมชน
วิธีสอนภาษาอังกฤษ (7)
อ่านหนังสือ หนังสือนี้หมายถึงหนังสืออ่านเล่นหรืออ่านประกอบการเรียน มีขนาดต่างๆ กันตั้งแต่ขนาดฝ่ามือไปจนถึงใหญ่กว่ากระดาษ A4 กระดาษค่อนข้างหนาเพื่อให้ทนมือเด็ก หากเป็นหนังสือเด็กโตกระดาษก็หนากว่าปกตินิดหน่อย แต่ถ้าเป็นหนังสือเด็กเล็กกระดาษอาจจะหนาได้ถึงประมาณหนึ่งมิลลิเมตรเลยละครับ หนังสือแต่ละเล่มมีเพียงประมาณ 10-20 หน้า มีรูปประกอบทุกหน้า ส่วนมากมีสีสันสวยงาม แต่ละหน้าอาจจะไม่มีตัวหนังสือเลย หรือมีเพียงหน้าละหนึ่งคำ ไปจนถึงหลายบรรทัด ตัวหนังสือมีขนาดใหญ่อ่านได้ง่าย ส่วนเนื้อหาก็มีหลากหลายสารพัดสารพันครับ ตั้งแต่จำนวนนับหนึ่งถึงสิบ รูปทรงเรขาคณิต เรื่องตามจินตนาการที่มีตัวละครเป็นสัตว์หรืออะไรก็ได้ แต่อิงชีวิตประจำวันของคน ไปจนถึงเรื่องในประวัติศาสตร์ หรือจักรวาลทางช้างเผือกไปโน่น มีแต่เรื่องสนุกและน่าสนใจครับ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ยังอยู่ในวัยเพ้อฝัน
ประเทศที่ได้ชื่อว่าพัฒนาแล้วมีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่งครับ คือ เมืองเล็กเมืองน้อยมักจะมีห้องสมุดสาธารณะ คงจะเพื่อแสดงความศิวิไลซ์ของเมือง ดังที่ Robert Wolverton บอกไว้ว่า "สติปัญญาของโลกอยู่บนชั้นหนังสือ" และในห้องสมุดก็มักจะมีห้องหรือมุมหนังสือเด็กโดยเฉพาะ เมืองสตาร์กวิลล์ที่พวกผมไปอยู่ชั่วคราวนี้ก็มีห้องสมุดครับ และให้บริการทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ฟรีครับฟรี ฟรีที่แปลว่าได้เปล่านั่นแหละครับ เพียงแต่แสดงหลักฐานว่าเรามีถิ่นพำนักเป็นหลักแหล่งอยู่ในเมืองนี้เท่านั้น ผมเลยใช้ใบขับขี่รถยนต์แสดงให้เจ้าหน้าที่ดู (ที่นี่ใช้ใบขับขี่แทนบัตรประชาชนครับ) เขาก็ทำบัตรห้องสมุดให้ทันที แล้วผมก็ยืมหนังสือได้ในทันใด ฟรีจริงๆครับ ผมไม่ต้องจ่ายสักเซ็นต์
ผมพาเจ้าหลานน้อยทั้งสองคนไปห้องสมุดของเมืองทุกวันเสาร์ แล้วให้พวกเขาไปเดินพลิกดูเลยว่าอยากอ่านหนังสือเล่มไหน โดยกำหนดให้ยืมคนละประมาณห้าเล่มต่อสัปดาห์ หากเป็นช่วงโรงเรียนเปิดก็ยืมน้อยหน่อย แต่หากเป็นช่วงปิดเทอมก็ยืมมากขึ้น ตอนแรกก็ให้ยืมหนังสือง่ายๆ เช่นมีเพียงหน้าละคำเท่านั้น หนังสืออย่างนี้มีนะครับ เช่น จำนวนนับ หรือสี หลังจากนั้นก็ค่อยๆผลักดันให้เลือกหนังสือที่มีคำมากขึ้นเป็นหนึ่งบรรทัด สองบรรทัด และหลายๆบรรทัดตามลำดับ เมื่อได้หนังสือมาแล้วก็กำหนดเวลาให้พวกเขาอ่านหนังสือ หรือหากพูดให้ถูกต้องก็คือ ตัดเวลาดูโทรทัศน์และเล่นให้น้อยลง เท่าที่ดู พวกเขาก็ยอมรับและทำอย่างนี้ได้ตลอดครับ
ผมลองคำนวณคร่าวๆ ในช่วงเวลาหนึ่งปี หลานแต่ละคนได้อ่านหนังสือเด็กในห้องสมุดสาธารณะของเมืองนี้แล้วประมาณ 200 เล่ม นี่ไม่รวมหนังสือที่พวกเขาต้องยืมจากห้องสมุดโรงเรียนในแต่ละสัปดาห์นะครับ หากคิดว่าพวกเขาสามารถจำภาษาอังกฤษในหนังสือที่อ่านได้สัก 5 หรือ 10% ผมว่าก็เป็นเนื้อเป็นหนังพอสมควรนะครับจากการทำกิจกรรมนี้ คุณผู้อ่านที่ไม่ได้อยู่ใกล้ห้องสมุด หรืออยู่ใกล้ แต่ห้องสมุดไม่มีหนังสือสำหรับเด็ก หรืออาจจะมี แต่ไม่ให้คนนอกเข้าใช้ ก็คงจะใช้วิธีนี้ไม่ได้ และหากเป็นกรณีหลัง ก็ต้องให้ลูกหลานร้องขึ้นมาดังๆว่า "อนิจจาน่าเสียดาย ..." ดังที่อังคาร กัลยาณพงศ์ ว่าไว้ละครับ
ผมขอเลี้ยวซ้ายออกนอกประเด็นหน่อยนะครับ จะเห็นความสำคัญของการอ่านได้จากคำขวัญหนึ่งที่ติดอยู่ข้างห้องเรียนเกรดสามในรัฐมิสซิสซิปปี เขาบอกว่า "การอ่านทำให้ประเทศยิ่งใหญ่" ต้องคิดนะครับประเด็นนี้ จะเห็นได้ว่าปรัชญาการเรียนการสอนในระดับประถมของเขาชัดเจนว่า มุ่งที่จะให้เด็กเรียนรู้การอ่านเพื่อว่าเมื่อโตขึ้นจะได้อ่านเพื่อเรียนรู้ได้เอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใหญ่อเมริกันจำนวนมากยังอ่านหนังสือกันเป็นประจำ ดังจะเห็นได้จากร้านหนังสือที่มีหนังสือประเภทต่างๆมากมายไว้ให้เลือกตามรสนิยม เพราะพวกเขาถูกสอนมาอย่างนี้นี่เอง
แต่หากเรียนจบแล้วก็เลิกอ่านหนังสือเหมือนอย่างในบ้านเรา อย่างนี้ไม่ได้เรื่องแน่ครับ Mark Twain ได้พูดไว้ว่า "คนที่ไม่อ่านไม่ได้เหนือกว่าคนที่อ่านไม่ออก" คงหมายถึงว่าถ้าไม่อ่านหนังสือบ้างก็จะมีสภาพ "หัวปึก" พอๆ กับคนที่อ่านหนังสือไม่ออกกระมัง เพราะ "หนังสือเป็นส่วนขยายของสมอง ทำให้ความจำโดยรวมของเรามีสมรรถภาพสูงกว่าที่คนหนึ่งคนใดจะพึงมี" Carl Zimmer ว่าไว้อย่างนี้ แม้ว่าหนังสือมีประโยชน์มาก ก็ไม่ใช่ว่าทุกเล่มมีคุณค่าเท่ากันนะครับ Francis Bacon บอกว่า "หนังสือบางเล่มเหมาะสำหรับชิมนิดๆหน่อยๆ เล่มอื่นๆ สำหรับรีบกลืนให้หมดๆ ไป และมีเพียงไม่กี่เล่มเหมาะที่จะค่อยๆ เคี้ยวและย่อย" คุณผู้อ่านคงจะสงสัยว่าผมไปหาหยิบยกคำพูดเหล่านี้มาจากไหน จากการอ่านกับอ่านและอ่านครับ
กลับมาเข้าประเด็นต่อดีกว่า เนื่องจากเด็กยังชอบเล่นมากกว่าเรียน ผมจึงกำหนดให้เจ้าหลานชายทั้งสองต้องอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ โดยทำเหมือนว่าเป็นกิจวัตรประจำวันเช่นเดียวกับการเล่นและดูโทรทัศน์ เท่าที่ดูพวกเขาก็ยอมรับโดยปริยายไม่ได้ต่อต้านอะไร ในช่วงแรกๆ ผมจะให้เขาอ่านเองก่อนครับ หากเจอคำที่ไม่รู้จักก็ให้เปิดดูจากดิกฯ แล้วเขียนไว้ในกระดาษตามลำดับ พอตอนเย็นหรือค่ำวันไหนที่ผมอารมณ์ดีๆ ก็จะเรียกให้มาอ่านหนังสือให้ฟังทีละคน ผมก็คอยดูตามที่เขาอ่านไปด้วยทุกคำ คำที่เขาออกเสียงอ่านไม่ได้ก็จะบอกให้ หรือหากเขาหยุดผิดที่ เช่น หยุดในประโยค หรือไม่หยุดเมื่อหมดประโยค ผมก็จะเตือนเขา พอหมดแต่ละหน้าก็ให้แปล โดยดูรายการศัพท์ที่เขาหาไว้ก่อนหน้านี้ประกอบ ผมจะช่วยก็ต่อเมื่อเขาแปลไม่ได้ใจความ เช่นกลับหน้ากลับหลัง
ในช่วงหลังๆ เมื่อเขาเริ่มอ่านหนังสือได้บ้างแล้วพร้อมกับได้สำเนียงฝรั่งนิดหน่อย และเริ่มยืมหนังสือที่มีเนื้อเรื่องยาวขึ้น ผมไม่มีเวลามากพอก็จะให้เขาอ่านอย่างเดียวโดยไม่ต้องแปล แต่เมื่ออ่านจบแล้วผมก็จะถามเพื่อดูว่าเขาพอจับใจความได้ไหม เช่น หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร? ลองเล่าเรื่องย่อๆ ใครเป็นตัวเอก? คนเขียนมีวัตถุประสงค์อะไร? หรือเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอะไร? ชอบหรือไม่ชอบเรื่องนี้? เพราะอะไร? หากเขาเป็นคนเขียนเรื่องนี้ เขาอยากจะแก้ไขเนื้อเรื่องตรงไหน? เพราะอะไร? ผมไม่ได้คิดคำถามเหล่านี้เองหรอกครับ นักวิชาการศึกษาของสหรัฐฯ แนะนำเอาไว้ให้ผู้ปกครองเอาไปทำดู เพื่อช่วยลูกหลานให้อ่านหนังสือได้ดีขึ้นที่เขาเรียกว่าการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านให้หมดเล่ม พอถามว่าอ่านไปทำไม อ่านแล้วได้อะไร ก็ตอบไม่ถูก
การทำอย่างนี้ยังเป็นการฝึกเด็กให้เจอปัญหาตั้งแต่ยังเล็ก จะได้รู้จักแก้ไขเมื่อโตขึ้น สอดคล้องกับที่ Roger Lewin ได้พูดไว้ว่า "แทนที่จะให้ปัญหากับลูกหลานเราไว้ฝึกแก้ไข เรากลับบอกคำตอบให้พวกเขาจำเอาไว้ใช้มากเกินไป" เอ๊ะ คนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่า?
เมื่ออ่านเสร็จแต่ละเล่มก็ต้องมีการให้คะแนนใช่ไหมครับ เดี๋ยวเด็กจะไม่รู้สึกว่างานนี้มีความสำคัญ ผมให้เขาเตรียมตารางประเมินผลการอ่านหนังสือ มีช่องวันที่ ชื่อหนังสือ ผลการประเมิน ลายเซ็นผู้ประเมิน ถามว่าเขียนเป็นภาษาอะไรหรือครับ? ก็ต้องเป็นภาษาอังกฤษสิครับ เรากำลังสร้างสภาพแวดล้อมให้อบอวลไปด้วยภาษาอังกฤษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ผมว่าอย่างน้อยก็คงช่วยให้เขาคุ้นเคยการเขียนภาษาอังกฤษขึ้นอีกนิดหนึ่ง
ในการให้คะแนนผมให้เป็นสัญลักษณ์หน้าคนตามที่อาจารย์ของเขาเคยให้ครับ ลองเอียงหน้าลงมาทางซ้ายมือแล้วดูนะครับ สัญลักษณ์ =( หมายความว่าแย่ ส่วน =I หมายความว่าธรรมดา ในขณะที่ =) หมายความว่าดี หากมุมปากฉีกไปถึงด้านบนของลูกตาก็แสดงว่าดีมาก เวลาเขียนก็เขียนตรงปกติแหละครับ เจ้าหลานทั้งสองคนได้ลุ้นทุกครั้งแหละครับว่างวดนี้จะออกเลขอะไร เพราะเมื่อคะแนนสะสมได้ระยะหนึ่ง ประมาณหนึ่งถึงสองเดือน ก็หมายถึงโอกาสได้เลือกของเล่นก่อน คุณผู้อ่านอย่าไปคิดถึงของเล่นจากร้านดังๆนะครับ เป็นแค่ของเล่นจากร้านขายของเก่าใช้แล้วครับ แต่เพียงเท่านี้พวกเขาก็พอใจสุดๆแล้ว
ผมว่าการสอนหรือเรียนภาษาอังกฤษด้วยการอ่านหนังสือนี้เป็นวิธีที่ดีมากวิธีหนึ่ง อย่างที่นักการศึกษาของสหรัฐฯ แนะนำให้ทุกคนในครอบครัวทำกิจกรรมนี้ร่วมกันทุกวันหรือบ่อยที่สุด เพื่อช่วยให้เด็กมีพัฒนาการในด้านนี้เร็วขึ้น นอกจากเจ้าหลานน้อยทั้งสองจะได้ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาษา โดยเฉพาะทักษะการอ่านแล้ว พวกเขายังมีประสบการณ์ในการหาและเลือกหนังสือในห้องสมุด ได้เห็นภาพวาดที่สวยงามชวนให้เกิดจินตนาการ ได้ความรู้ในด้านอื่นๆ เช่น ธรรมชาติวิทยา หรือดาราศาสตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้คติสอนใจเป็นของแถมในบางเรื่อง แต่วิธีนี้ทำได้ไม่ง่ายนัก ผู้ปกครองต้องให้เวลาลูกหลานมากเป็นพิเศษ นอกเสียจากว่าคุณผู้อ่านต้องการเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยก็จะไม่รู้สึกว่าเสียเวลามาก แถมยังได้พัฒนาภาษาอังกฤษเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
มีปัญหาที่ผมเจอด้วยตัวเองก็คือ คำบางคำเราออกเสียงไม่ถูกต้อง จะดูคำอ่านจากดิกฯไทยก็ไม่แน่ใจ หากดูจากดิกฯอังกฤษก็อ่านตัวสัญลักษณ์ไม่ค่อยออก ผมก็ออกเสียงตามตัวหนังสือที่สะกดและจำไว้ในหัวมาอย่างนั้น แต่พอมาได้ยินฝรั่งพูดหรือจากในโทรทัศน์ถึงได้รู้ตัวว่าออกเสียงผิด อย่างน้อยก็ผิดจากคนอเมริกัน เพราะมีคำอังกฤษหลายคำที่ประเทศต่างกันออกเสียงต่างกัน นี่ว่ากันเฉพาะประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการนะครับ ปัญหานี้ก็คงเข้าลักษณะลุงปูสอนหลานปูนั่นแหละครับ อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังสนับสนุนให้ผู้ปกครองส่งเสริมให้ลูกหลานอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเท่าที่จะทำได้ ที่จะทำไม่ได้ก็คือหาหนังสือไม่ได้ หรือหาได้ แต่หนังสือมีราคาแพงเกินฐานะ
ถึงตรงนี้ผมขอหยุดข้างทางอีกครั้งนะครับ ที่เมืองไทยก็พอจะมีหนังสือแบบนี้ขายเหมือนกัน แต่จะมีสักกี่คนที่พอจะควักกระเป๋าซื้อให้ลูกหลานอ่านได้ และจะเหลือสักกี่คนที่สามารถซื้อได้บ่อยๆ ขนาดหนังสือภาษาไทยยังไม่ซื้อให้อ่านเลย นับประสาอะไรกับหนังสือภาษาอื่น คุณผู้อ่านที่อยู่ใกล้ห้องสมุดดีๆ ที่มีหนังสือเหล่านี้ก็ถือว่าโชคดีถูกลอตเตอรี่เลขท้าย แต่จะได้ไปรับเงินรางวัลหรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะจะมีสักกี่คนที่มีเวลาพาลูกหลานไปห้องสมุดเป็นประจำ นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ปวดหัวใจก็คือ ห้องสมุดบางแห่งจะเก็บเงินจากคนนอกที่เข้าไปใช้บริการนะครับ
คุณผู้อ่านที่กำลังฝันจะหาหนังสือประเภทนี้มาให้ลูกหลานอ่านอย่าเพิ่งฝันสลายนะครับ ผมเคยเห็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดอยากทำเพื่อส่วนรวม คือมีภรรยาสามีชาวอเมริกันคู่หนึ่งเคยขอหนังสือประเภทต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษมาให้สถาบันการศึกษาหลายแห่งในภาคอีสาน ถ้าผมจำไม่ผิด เขาขอมาจาก International Book Project (ผมลองหาดู อยู่ที่ www.intlbookproject.org) แต่ผมคิดว่าน่าจะมีองค์กรอื่นแจกจ่ายหนังสือเช่นกัน ท่านที่สนใจอาจลองหารายละเอียดเพื่อดูช่องทาง เผื่อจะได้หนังสือประเภทนี้มาใช้ประโยชน์ในชุมชนของตนบ้าง