Skip to main content

เก็บตกจากบอสตั้น

คอลัมน์/ชุมชน

เพราะไปงานประชุมใหญ่ของสมาคมนิเทศศาสตร์แห่งสหรัฐฯ ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสได้เห็นอะไรแปลกๆ อีกหน บทความนี้จึงเป็นการเล่าเรื่องในการเดินทางครั้งนี้


 


ก่อนอื่นขออธิบายก่อนว่าที่ต้องไปก็เพราะว่าผู้เขียนดันไปส่งงานกับสมาคมฯดังกล่าวตั้งแต่ต้นปีนี้  เนื่องด้วยจำเป็นต้องทำผลงานเพื่อให้ผ่านการประเมินการทำงานประจำปีของมหาวิทยาลัย  ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในการทำงานที่นี่ นอกเหนือไปจากการสอน การมีบทความวิชาการหรือรายงานการวิจัยตีพิมพ์ และการทำงานบริการต่างๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดจะลาออกจากงานที่นี่ เลยส่งมันไปซะห้าเรื่อง ได้รับการตอบรับมาสี่เรื่อง อีกเรื่องหนึ่งตกไป อย่างไรก็ตามในที่สุดก็ไปนำเสนอเพียงสามเรื่องเท่านั้น เพราะตัดสินใจลาออกจากงานจึงไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรให้เหนื่อยโดยไม่จำเป็น


 


เมื่อถึงสนามบิน ก็เรียนรู้อันดับแรกว่าตอนนี้น้ำหนักกระเป๋าเดินทางแต่ละใบห้ามเกิน ๕๐ ปอนด์ จากเดิมที่ห้ามเกิน ๗๐ ปอนด์ เป็นเพราะสายการบินต้องการเอาพิกัดที่ตัดออกไปมาใช้ขนของคาร์โก้อันเป็นการเพิ่มรายได้ต่อสายการบินเอง  ทุกวันนี้สายการบินแต่ละแห่งก็แทบเอาตัวไม่รอดกันแล้ว จึงหาทางตัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ต่อตนเอง (แต่ว่าไปแล้ว เป็นความผิดของการบริหารสายการบินเองที่ผู้บริหารเอาแต่ได้ อันนี้น่าคิดต่อไปเช่นกัน)


 


นอกจากนี้ บนเครื่องก็มีแต่เครื่องดื่มเท่านั้นที่มีให้ฟรี ยกเว้นชั้นพิเศษที่มีอาหารให้ ส่วนชั้นธรรมดา สแน็คก็ขายกล่องละสามเหรียญ อันนี้เป็นการเดินทางภายในประเทศ  ส่วนระหว่างประเทศยังมีอาหารให้ แต่อย่างไรก็ตาม ประหยัดไปซะหมด


 


เมื่อมาถึงบอสตั้น มีเพื่อนฝรั่งมารับ นั่งแท็กซี่เข้าโรงแรมที่พัก จากนั้นก็ต้องวิ่งไปลงทะเบียนงานประชุม เพราะเช้ารุ่งขึ้นต้องขึ้นเวที ขี้เกียจรีบมาต่อแถวลงทะเบียน   โรงแรมสถานที่ประชุมก็ห่างจากที่พักหลายบล็อก ก็เล่นเอางงเพราะยังไม่คุ้นทาง ที่ต้องพักคนละที่เพราะว่าโรงแรมสถานที่ประชุมค่าห้องแพงเหลือหลาย ตกคืนละ ๒๐๐ เหรียญ สู้ไม่ไหว โรงแรมที่พักราคาประมาณ ๑๑๕ เหรียญต่อคืน ขนาดนี้ขนหน้าแข้งก็ร่วงไปหลายเส้นเพราะมหาวิทยาลัยช่วยจ่ายแค่ ๕๐๐ เหรียญเท่านั้น แต่เป็นงานพีอาร์ของมหาวิทยาลัยด้วยโดยแท้ ตนเองไม่ชอบใจเท่าไรนัก (เพราะไม่มาก็มีปัญหาจะโดนว่าไม่มีผลงาน พอมาก็ต้องจ่ายเงินเองตั้งมาก) การเดินทางครั้งนี้ เวลาห้าคืน มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยรวมแล้วกว่า ๑,๖๐๐ เหรียญ แพงเหลือเกิน


 


การนำเสนอเป็นไปแบบสะดวกโยธิน เพราะรู้จักกันเกือบทั้งนั้น อีกอย่างก็มางานนี้ทุกปี ตั้งแต่มาทำงานตำแหน่งสอนที่นี่ จนรู้จักคนบ้างเหมือนกัน เลยไม่เกร็ง ตอนแรกๆ เกร็งไปหมด ทั้งที่ก็ผ่านมาบ้างตอนเรียนด้วยซ้ำ แต่เพราะเรื้อเวทีไปนานก็เกร็ง ฝรั่งก็เป็นคุณช่างถาม อันนี้แหละที่น่ากลัว ถ้าไม่แม่นจริง โดนต้อนแน่ แต่ไม่เสมอไป


 


หลังงานเสนอผลงาน ผู้เขียนจึงได้โอกาส "ทัศนศึกษา" และเพื่อนคนไทยคนหนึ่งบินมาสมทบจากมินนิอาโปลิส  จึงทำให้ทริปนี้มีสีสันขึ้น ไม่งั้นก็น่าเบื่อเพราะเที่ยวคนเดียว บังเอิญเพื่อนคนนี้มีเพื่อนไต้หวันสองคนที่บอสตั้น ก็จึงเริ่มรายการทัวร์สบายๆ ในวันก่อนสุดท้าย ว่าง่ายๆ ว่ามีทัวร์จริงๆ แค่สองวันเท่านั้น


 


ทัวร์ในวันแรก เน้นเดิน เดินจนเท้าผู้เขียนพองไปสองข้าง ได้ไปดูดาวน์ทาวน์ ดูไชน่าทาวน์ เพราะการเดินนี้ ก็ได้เห็นอะไรในรายละเอียด ดีที่ในวันแรกๆ ผู้เขียนได้เพื่อนฝรั่งสอนวิธีนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็เลยไปไหนต่อไหนได้ แต่ก็ไม่ชอบใจนัก เพราะสกปรก แต่ว่าก็ได้รสชาติเถื่อนๆ ดี แต่ขอนานๆ ครั้งจะดีกว่า แก่แล้วลุยไม่ค่อยไหว ส่วนที่น่าดึงดูดใจของบอสตั้นในวันแรกคงไม่มีอะไรมากไปกว่า การได้กินอาหารทะเลสดๆ การเห็นอิทธิพลยุโรปที่ชัดเจน และคนบอสตั้นที่เย็นๆ ไม่สนใจอะไรใคร หรือไชน่าทาวน์ที่ก็งั้นๆ เอาเป็นว่าไม่เหมือนบ้านไร่นาเราที่มินเนโซต้า


 


ทัวร์ในวันที่สอง มีเพื่อนไต้หวันมาบริการ ขับรถไปโน่นนี่ เลยสะดวกขึ้น ต้องขอบคุณเพื่อนสองคนนี้มาก ได้เดินชมฮาร์วาร์ดบางส่วน ก็เกิดกิเลสว่าแหมทำไมมันถึงได้รวยนักรวยหนา จะทำอะไรก็สะดวก แต่ที่น่าตลกคือตอนที่ผู้เขียนยืนคอยเพื่อนหน้าร้านหนังสือสหกรณ์ของฮาร์วาร์ด มีหนุ่มฝรั่งหน้าตาดีคนหนึ่งมาจับบั้นท้ายผู้เขียน แล้วทำหน้ายิ้มๆ เดินไป ผู้เขียนงงมาก ตามประสาคนอ่อนโลกแต่รอบจัด เพื่อนคนไทยและไต้หวันหัวเราะก๊าก บอกว่าเสน่ห์แรง เป็นคนอ้วนที่ตลาดเกย์บอสตั้นต้องการ


 


จากนั้น ก็นั่งรถชมเมือง ผ่านเอ็มไอที ก็ใหญ่อีกเหมือนกัน มีเรื่องเล่าเปรียบเทียบ เด็กฮาร์วาร์ดกับเด็กเอ็มไอที บอกว่า เด็กฮาร์วาร์ดจะแต่งตัวเนี้ยบกว่า เด็กเอ็มไอทีจะออกสบายๆ ไม่เนี้ยบ ฟังแล้วผู้เขียนก็นึกถึงเด็กที่เรียนกับผู้เขียน ที่บางทีมันลุกจากเตียงสดๆ จากหอพักวิ่งมาเรียน หัวหูกระจุยกระจาย   ปลงในใจว่าเอาเหอะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น


 


จากนั้นก็มาถึง ย่านบอสตั้นยู เพื่อนไต้หวันบอกว่ามีแต่เด็กรวยๆมาเรียน เธอเล่าว่าครั้งหนึ่งไปสกีทริปกับพวกเด็กไต้หวันของมหาวิทยาลัยนี้ วันๆไม่ได้คุยอะไรนอกจากเรื่องเครื่องสำอางและช็อปปิ้ง ผู้เขียนเลยบอกว่ามันเป็นทุกยูแหละสำหรับเดเด็กเเด็กไทย ทุกคนเลยขำกลิ้ง อันนี้ไม่ใช่ของแปลกของผู้เขียน เพราะเด็กไทยรวยๆเท่านั้น ที่มักมาเมืองนอกได้ และที่เห็นชัดคือเด็กรวยๆ ก็เป็นแบบนี้ทุกชาติ


 


ตกดึกคืนนั้น ผู้เขียนโดนเพื่อนคนไทยลากให้ลงมาที่บาร์น้อยๆ ใต้ถุนโรงแรมที่พัก ลืมบอกไปว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่เน้นกลุ่มรักเพศเดียวกัน ธงสีรุ้งผืนเบ้อเร่อกางให้เห็นหน้าโรงแรม ผู้เขียนไม่อยากไปเท่าไรนัก เพราะเหนื่อย แต่อยากรู้ว่าบาร์น้อยๆนี้เป็นอย่างไร  จึงเอาละลงไปด้วย แล้วหนึ่งในเพื่อนไต้หวันตอนกลางวัน ก็มาสมทบด้วย ก็เลยเป็นเอเชี่ยนสามนางในบาร์เกย์ฝรั่ง ทำให้นึกถึงบาร์เกย์แบบไทยๆแถบสีลมที่สมัยรุ่นๆไปเที่ยว ที่นี่บาร์ไม่เหม็น แล้วก็สนุกไปอีกแบบ


 


มีฝรั่งมาทักผู้เขียนตอนเข้าบาร์ใหม่ๆ แต่ผู้เขียนไม่รู้สึกถูกชะตา จึงบอกว่า ขอตัวไปเอาเครื่องดื่มก่อน (ซึ่งก็แค่น้ำดื่มในขวดธรรมดา เพราะผู้เขียนไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่) จากนั้นก็มีฝรั่งมาประกบอีกหนึ่ง คุยได้สักพักทำมาชมว่าผู้เขียนพูดภาษาอังกฤษดี แทบไม่มีสำเนียง ได้ฟังแล้วแทบสำลัก เพราะผู้เขียนรู้แก่ใจดีว่าสำเนียงไทยตนเองนั้นหนาเป็นฟุต มีสำเนียงของฝรั่งบ้านนอกสไตล์มินเนโซต้าแจมมาหน่อยๆ อยากด่ากลับแต่ไม่ดี จึงบอกว่าขอบคุณ  (ทั้งที่ในใจบอกว่า "กูรู้นะว่าเอ็งคิดอะไรอยู่ จะฟันกูล่ะสิ อีพวกชอบของแปลก") จากนั้นผู้เขียนก็ใช้ลีลามาหยารัศมีและแววมยุรา เชิดใส่ฝรั่ง ตัดบทออกมา


 


เมื่อกลับถึงตัวโรงแรมที่เดินผ่านแค่ประตูสองบานจากที่บาร์ ผู้เขียนก็ขอกุญแจขึ้นห้องพัก (โรงแรมนี้โบราณมาก) พนักงานที่ให้กุญแจก็ชวนคุย แล้วก็บอกว่า เมื่อกลับถึงมินเนโซต้าแล้ว ติดต่อมาด้วยพร้อมให้เบอร์โทฯมือถือ ท่าทางติดอกติดใจผู้เขียนมาก เพื่อนคนไทยแซวบอกว่า "คืนนี้ พี่เกิดจริงๆ"  ผู้เขียนหัวเราะก๊ากเพราะว่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้แต่อย่างใด พลางนึกในใจว่า นี่แหละที่เรียกว่าคน  ไม่มีอะไรมากกว่าเรื่องใต้สะดือ จะหาอย่างอื่นที่ให้ความหมายที่แท้จริงของชีวิตนั้นไม่มี ภาพของคนที่เที่ยวกลางคืน ไม่ว่ารักต่างเพศหรือเพศเดียวกัน ก็จบไม่ต่างกัน ต่างคนต่างต้องการที่จะระบายความต้องการพื้นฐาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ผิดแต่ตื้นไปหน่อย


 


กว่าสี่วันห้าคืนในบอสตั้น ทำให้ผู้เขียนได้เดินออกจากโลกที่จำเจประจำวันที่น่าเบื่อ มาอยู่ในสถานที่ที่มีสีสันแปลกต่างจากเดิม เห็นชีวิตอเมริกันแบบนิวอิงแลนด์ ได้เจอเพื่อนร่วมอาชีพที่มีมายาคติต่างๆ ต่างแก่งแย่งชิงดี แบ่งพรรคแบ่งพวก เห็นบรรดานักวิชาการลือชื่อที่น่ารักและน่าสะอิดสะเอียน ได้เจอพบคนแปลกหน้าที่เป็นคนท้องถิ่น  ได้พบว่ามีคนชอบเกย์เอเชี่ยนแก่ๆอ้วนๆ  ได้เจอเพื่อนน่ารักๆที่ยินดีช่วยเหลือ


 


การเดินออกมาในโลกประจำวันแบบนี้เหมือนการที่ทำให้เราได้เปลี่ยนจุดในการมองโลกชั่วคราว ได้มีการสำรวจตนเอง แม้ว่าจะเหนื่อยในการเดินทางและการเตรียมตัวอื่นๆ ผู้เขียนก็คิดว่าคุ้มที่ได้เดินทางแบบนี้ ตราบใดที่ตนเองยังมีแรงกายและกำลังทรัพย์  โดยเฉพาะปัจจัยหลังที่สำคัญมากในโลกทุนนิยมหลังสมัยใหม่ใบนี้


 


ขออนุญาตจบเรื่องเบาๆ เพียงเท่านี้