สื่อสนธิ
คอลัมน์/ชุมชน
ประเด็นเรื่องสื่อกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสรรหา กสช. หรือการฟ้องกันนัวเนียระหว่างคนที่ถูกสื่อพาดพิงกับฝ่ายที่อยู่ข้างสื่อ
พอพูดเรื่องสื่อแล้วก็ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง "no mans land" ซึ่งเป็นหนังที่ถูกใจผมอย่างแรง ที่ว่าถูกใจก็เพราะมันวิพากษ์พวกสื่อได้อย่างเจ็บแสบที่สุด ควรที่พวกสื่อ คนที่ชอบและไม่ชอบสื่อมวลชนควรจะหามาดู มันเป็นหนังฉลาด ๆ ที่ควรค่าแก่การดูมากเรื่องหนึ่ง
ในหนังเรื่องนี้ คนที่เป็นนักข่าวจากสำนักข่าวแห่งหนึ่งพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะนำเสนอเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในระหว่างสงคราม สื่อทำทุกอย่าง (รวมทั้งใช้วิธีการที่ไร้มนุษยธรรมอย่างน่าเกลียดสุดๆ) เพื่อให้ได้ภาพและบรรยากาศสดๆ ที่เกิดขึ้นจากสนามรบเพื่อถ่ายทอดออกอากาศ การกระทำของสื่อ (นักข่าว) ในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีแรงดลใจมาจากอุดมการณ์หรือต้องการจะสร้างสรรค์สังคมใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่ถูกกระตุ้นด้วยเหตุผลทางธุรกิจล้วน ๆ
และตัวละครที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ก็ไม่ใช่ตัวละครโง่ๆ ที่ไม่ประสีประสาแบบตัวละครในหนังไทย ตัวละครในหนังเรื่องนี้ "รู้ทันสื่อ" และรู้ว่าการตกที่นั่งลำบากของตนเองกำลังจะเป็นเรื่องที่ถูกขายไปทั่วโลก เขาจึงแสดงความชิงชังรังเกียจนักข่าวออกมาอย่างชัดแจ้ง พวกสื่อมวลชนที่หลงตนในเมืองไทยจึงควรดูหนังเรื่องนี้อย่างยิ่งเพราะจะได้ไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
กลับมาที่เมืองไทย เมื่อสื่อโดนฟ้องโดยเฉพาะสื่อและคนข่าวในค่ายผู้จัดการ หลายคนก็ออกมาพูดว่าการเมืองแทรกแซงสื่อ สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของนักสื่อสารมวลชนบางคนและนักวิชาการบางส่วนหนีไม่พ้นประโยคในทำนองที่ว่า "รัฐบาลแทรกแซงสื่อ" "สื่อถูกจำกัดและลิดรอนเสรีภาพ" "ปิดกั้นสื่อ" "รัฐบาลเป็นเผด็จการ" ฯลฯ
เป็นเรื่องพื้นๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเสรีภาพของสื่อ (หรือของใครก็ตาม) ไม่ใช่การนำเสนอ "อะไรก็ได้" อย่างปราศจากขอบเขตข้อจำกัดหรือความรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่านึกจะด่าพ่อล่อแม่ใครก็ทำได้โดยเสรี
สื่อมวลชนไม่ได้บ่นอยู่คนเดียวหรือเขียนให้ตัวเองอ่านเท่านั้น ถ้าบ่นหรืออ่านอยู่คนเดียว อยากจะบ่น จะเขียนยังไงก็สามารถทำได้โดยไม่มีใครหาว่าบ้า แต่สื่อหรือนักสื่อสารมวลชนบ่นหรือเขียนให้คนจำนวนมากอ่านและฟัง ดังนั้น การนำเสนอก็ต้องรอบคอบระมัดระวังเป็นธรรมดา
แต่การต่อสู้ทางการเมืองที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือ การนำเสนอข้อมูลความคิดเห็น ย่อมตั้งใจที่จะก่อความเสียหายแก่คนอื่นอยู่แล้ว การโจมตีมีเป้าหมายชัดเจนคือฝ่ายตรงข้าม ความระมัดระวังว่าจะไปกระทบกับใครเลยเป็นสิ่งไม่จำเป็นเพราะต้องการให้กระทบอยู่แล้ว
เมื่อสนธิใช้สื่อของตนเองเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอีกเหมือนกัน ที่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นรัฐบาลจะใช้สื่อและช่องทางต่างๆ ของตัวเอง (ซึ่งน่าจะได้เปรียบกว่า) เป็นเครื่องมือในการตอบโต้บ้าง รวมทั้งการพึ่งกฎหมายที่ฟ้องกันอิรุงตุงนังไปหมด (ดังนั้น สนธิก็ไม่น่าจะโอดครวญ)
สื่อไม่ได้มีหน้าที่ด่าใครก็ได้ที่รู้สึกไม่ชอบ เพราะถ้ามีหน้าที่เพียงแค่นี้ แม่ค้าขายปลาที่ตลาดสด หรือคนขายพระที่ท่าพระจันทร์ก็สามารถทำได้และก็ทำได้ดีด้วย แต่สื่อควรจะมีหน้าที่อะไรบ้างนั้น ผมก็คงไม่จำเป็นต้องบอก เพราะคนที่อยู่ในแวดวงนี้น่าจะรู้ดีกว่าผมแน่ๆ
การที่นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องสื่อและคนข่าวในค่ายผู้จัดการ เป็นการกระทำเพื่อปกป้องตนเองจากการวิพากษ์วิจารณ์อันเกินเลยของสื่อมวลชน ไม่ใช่เรื่องของการแทรกแซงปิดกั้นหรือละเมิดเสรีภาพในการนำเสนอข่าวแต่อย่างใด ผมคิดว่าควรจะเลิกท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองได้แล้วว่าสื่อถูกจำกัดเสรีภาพ หรือรัฐบาลแทรกแซงสื่อ เพราะถ้าจะมีการแทรกแซงสื่อเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องของทุนหรือธุรกิจมากกว่าที่เข้าไปแทรกแซง
สื่อถูกชี้นำกำกับด้วยเหตุผลทางธุรกิจ แค่เรื่องพื้นๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกได้ว่าสื่อหาได้มีเสรีภาพหรือความเป็นกลาง เพราะฉะนั้นการเรียกร้องหาเสรีภาพของสื่อจากรัฐบาลจึงเป็นเรื่องตลก แต่ถ้าบอกว่าสื่อต้องการ "เสรีภาพในการขายข่าว" นี่เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
ผมแปลกใจพวกสื่อมวลชนอย่างมากที่เวลามีปัญหาขึ้นมา พวกสื่อมวลชนมักจะรู้สึกว่าโดนแทรกแซง รัฐปิดกั้น สื่อไม่มีอิสระ แต่สื่อไม่ยักกะอ่อนไหวเวลาที่ไปละเมิดเรื่องของชาวบ้านชาวช่อง หรือเวลาที่ทำตัวเป็นผู้พิพากษาความถูกผิดในสังคม คอยชี้นำว่าเรื่องนั้นดี เรื่องนี้ไม่ดี
ผมไม่รู้ว่าใครยกอำนาจการตัดสินถูกผิดในสังคมไปให้กับพวกสื่อตั้งแต่เมื่อไหร่? คงจะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าอย่างยิ่งหากการชี้นำทางสังคมถูกปล่อยให้อยู่ในมือของสื่อโดยไม่มีการคัดคาน เพราะในความเห็นของผม สื่อ (โดยส่วนใหญ่) ไม่มีวิจารณญาณมากพอ และก็อย่างที่บอกว่าสื่อถูกกำกับด้วยธุรกิจ ดังนั้น จะคาดหวังการชี้นำสังคมสู่สิ่งดี ๆ จากสื่อก็คงจะเป็นไปไม่ได้
สนธิ ลิ้มทองกุล ใช้สื่อของตนเองเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง (และทางเศรษฐกิจ) จนหนังสือพิมพ์ (และเว็บไซต์) ผู้จัดการหมดความน่าอ่านลงไปมาก ผมเคยชอบอ่านหนังสือพิมพ์ผู้จัดการช่วงที่แฉให้เห็นความปลิ้นปล้อนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่แล้วเมื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการหันมากัดนายกฯ ทักษิณ อย่างสาดเสียเทเสียและไร้เหตุผลผมก็เลิกอ่านไปอย่างเด็ดขาด
ผมคิดว่า คนอื่นๆ หลายคนก็คงจะเบื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการด้วยเช่นเดียวกัน เพราะมันกลายเป็นกระบอกเสียงทางการเมืองของสนธิมากเกินไป แทนที่จะมีความหลากหลายทางความคิดหรือการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างสมเหตุสมผล กลับมีแต่ข่าวของสนธิ และนายกฯ ทักษิณ หลายคนที่ไม่สนใจเรื่องราวทางการเมืองมากนักจึงพากันเบื่อ
(ไม่แน่ใจว่านักวิชาการที่อยู่ค่ายผู้จัดการหรือเขียนให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการจะเอากับสนธิมากน้อยเพียงใดเพราะไม่ได้ติดตามอ่าน)
ผมคิดว่าสื่อมวลชนเมืองไทยตอนนี้ไม่ใช่ไม่มีเสรีภาพ ตรงกันข้ามเลยทีเดียว สื่อมีเสรีภาพมากล้นเหลือ และจะยิ่งเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียหรือสิงคโปร์ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าสื่อใช้เสรีภาพที่มากล้นเหลือไม่เป็นต่างหาก
แทนที่จะใช้เสรีภาพเพื่อวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลก็กลับไปด่าเรื่องส่วนตัว (ทำราวกับซ้อเจ็ดนินทาดารา) แทนที่สื่อจะต้านทานกระแสทุนนิยมที่ทำให้ชุมชนได้รับผลกระทบ สื่อก็กลับไปส่งเสริมการบริโภค แทนที่จะเป็นสื่อทางเลือกให้คนเล็กคนน้อย กลับเป็นสถาบันที่แสวงหากำไรสูงสูด แทนที่จะติดอาวุธทางความคิดให้ประชาชนก็กลับไปมอมเมาจนปวกเปียก ฯลฯ
การใช้เสรีภาพไม่เป็นของสื่อเห็นได้ชัดจากหลาย ๆ กรณี เช่นการเสนอข่าวของปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ สื่อมีเสรีภาพมากพอที่จะอุทิศเนื้อที่ข่าวแก่คนในพื้นที่ที่เกิดปัญหา แก่ญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต หรือสื่อก็สามารถลงไปขลุกอยู่ได้ถ้ากล้ามากพอ แต่สื่อก็ไม่กล้าในเรื่องนี้ แล้วก็กลับไปกล้าในเรื่องอื่น เช่น ไปขุดเอาข่าวที่เกี่ยวกับวัดพระแก้วขึ้นมาเสนอซ้ำทั้งที่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หรือไปยั่วยุหลวงตามหาบัวให้พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวและเป็นโทษแก่คนอื่น หรือกล้าไปพาดพิงอ้างอิงสถาบันเบื้องสูง ฯลฯ
จะว่าไป การไม่รู้จักใช้เสรีภาพที่มีอยู่ หรือใช้เสรีภาพไม่เป็น นอกจากจะเป็นปัญหาของสื่อแล้ว ยังเป็นปัญหาของปัจเจกบุคคลด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงได้เห็นปัจเจกบุคคลใช้เสรีภาพโดยการแห่กันไปฟังไฮด์ปาร์คที่สวนลุม เพราะคิดว่านั่นคือการใช้เสรีภาพอย่างคุ้มค่า !