Skip to main content

สายหมอกต้นฤดูหนาวที่เชียงราย

คอลัมน์/ชุมชน

 


กับการฝึกใจกายด้วยการวิปัสสนากรรมฐาน


 



เช้าวันนี้ (๒๙  ..)  สายหมอกต้นฤดูหนาวปกคลุมแผ่นฟ้าและแผ่นดินเมืองเชียงรายให้มนุษย์ได้ชื่นชมว่า  ฤดูหนาวมาเยือนแล้ว  ควรปรับใจ  ปรับกาย  ใช้ชีวิตกินอยู่อย่างเหมาะสมกับฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนตลอดทั้งปี


 


ดวงตะวันซ่อนตัวอยู่ในสายหมอก  มองเห็นเป็นวงกลมสีขาวดูคล้ายดวงจันทร์  แสงสว่างจึงไม่ได้ส่องประกาย  ทำให้อากาศหนาวเย็นประมาณ  ๑๘  องศาเซลเซียส


 


นกสาลิกาฝูงใหญ่เกือบ  ๒๐ ตัว  บินมาหาอาหาร  ยอดมะพร้าวต้นสูงที่หน้าบ้าน  คือที่อยู่อันปลอดภัยของนกฝูงนี้นกกระจิบตัวน้อย  มากับน้ำหวานดอกเพกา  นกปรอดหัวจุก  พากันออกมากินลูกตะขบสีแดง  กับนกเขาที่ส่งเสียงขันอยู่ใกล้ๆ


 


ชุมชนยามเช้าไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา  ธรรมชาติจึงสงบสุข  เอื้อให้นก ผีเสื้อและสรรพสัตว์ทั้งมวล  อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ


 


ท่ามกลางภารกิจอันมากมาย  ดิฉันหาโอกาสเจริญสติยามเช้ากับธรรมชาติที่บ้านด้วยการเดินจงกรม  นั่งสมาธิ จบด้วยโยคะสุริยนมัสการ  ได้อาบแสงแดดอบอุ่น  ได้นอนพักในท่าศพอาสนะ  ได้มองท้องฟ้าสีครามหลังสายหมอกจาง  ได้สัมผัสการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลของสรรพสัตว์ในธรรมชาติ  จิตจึงสงบเย็นผ่องใส  พร้อมที่จะเดินปฏิบัติภารกิจในวันใหม่ด้วยใจเบิกบาน


 


เดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนของทุกปี  มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) จะเป็นเจ้าภาพในการทำบุญใหญ่  คือ  การจัดให้มีการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  ด้วยหลักสูตรการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุขของคุณแม่ ดร.สิริ  กรินชัย  ซึ่งศาสตราจารย์กิตติคุณอำไพ  สุจริตกุล  ได้เมตตาเป็นประธานวิทยากร ตั้งแต่เริ่มทำบุญเปิดอาคารชิน  โสภณพนิช  ที่บ้านป่าคาสุขใจ  .แม่สลอง  .แม่ฟ้าหลวง  .เชียงราย  เมื่อต้นเดือนตุลาคม  ๒๕๓๘  เป็นต้นมา


 


แรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการอบรมเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  โดย พชภ.  เป็นเจ้าภาพ  เกิดจากการที่ ศ.อำไพ  สุจริตกุล  ได้เมตตาชี้แนะให้ดิฉันเข้าใจเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  เป็นครั้งแรกที่บ้านฝนหลวง  ของคุฝนทิพย์  (ขออภัยที่จำนามสกุลของท่านไม่ได้)  ที่กรุงเทพฯ  เมื่อเดือนกุมภาพันธ์  ๒๕๓๕  เป็นเวลา    วัน    คืน  ดิฉันตั้งใจมาก  ว่าได้เกิดเป็นชาวพุทธแล้ว  ควรต้องเจริญบุญกิริยาวัตถุให้คบ ทั้ง  ทาน  ศีล  ภาวนา  เพื่ออบรมจิตใจให้มีสติรู้เท่าทันกิเลส  เป็นจิตที่ผ่องใสเป็นอิสระ  ควรแก่การทำงานเพื่อเป็นที่พึ่งของสังคม  ด้วยความลดละจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน


 


วัน    คืน  แหงการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  ด้วยความศรัทธา  ความเพียร  สติ  สมาธิ  ปัญญา  ครบอินทรีย์   ดิฉันรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่  ได้ชุบชีวิตใหม่  โดยคุณแม่ ดร.สิริ  กรินชัย  และทีมวิทยากร  ซึ่งได้บรรยายหลักธรรม  เรื่องความสำคัญของการวิปัสสนากรรมฐาน  ซึ่งเป็นทางสายเอก สายตรงที่มุ่งสู่ความดับสนิทจากกิเลส  ทุกข์ ได้โดยสิ้นเชิง  ได้ฝึกให้มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยการเดินจงกรม  นั่งสมาธิ การกำหนดอิริยาบใหญ่ คือ ยืน  เดิน  นั่ง  นอน  อิริยาบย่อย  เช่น กินอาหาร  เข้าห้องน้ำ  อาบน้ำ  แต่งตัว    ที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดรู้อาการของกาย  เวทนา จิต ธรรม  ที่เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน


 


หลังจากที่ได้เข้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกแล้ว  ดิฉันไดนำลูกสาว  คุณแม่  เพื่อนร่วมงานใน พชภ. ให้เข้าปฏิบัติด้วย  โดยดิฉันก็ได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง  ได้เห็นความก้าวหน้า  เห็นความเข้มแข็งว่องไวของสติ  ที่คุมจิตให้มีหลักยึดเหนี่ยว  สำรวม  ทวารทั้งหก  คือ  ตา หู   จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  รู้เท่าทันนิวรณ์ทั้งห้า  คือ กามฉันทะ  ความรัก  ความชอบ  พยาปาทะ  ความโกรธ  เกลียด  ไม่พอใจ  ถีนมิ  ความง่วงเหงา  หดหู่  เซื่องซึม  อุธัจจะ  กุกุจจะ  ความหงุดหงิดฟุ้งซ่าน  รำคาญใจและวิจิกิจฉา  ความสงสัย ลังเลใจ  เมื่อมีสติว่องไว  รู้เท่าทัน  จิตกบริสุทธิ์  แจ่มใส  เกิดปัญญาที่แก้ปัญหาทุกอย่างที่มากระทบได้ด้วยดี  การทำหน้าที่ต่อครอบครัวและการงานก็ราบรื่นมากขึ้น


 


เมื่อ พชภ.  จะทำบุญฉลองบ้านชิน  โสภณพานิช  ซึ่งได้รับความเกื้อกูลจากกัลยาณมิตรทุกฝ่าย  ก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้เพื่อเด็กและสตรีชนเผ่า  โดย  Asia  Pacific  Cultural  Center  for  Unessco (Accu) มูลนิธิชิน  โสภณพนิช  PLAN  ARCHITECH    มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี  โดยดร.กฤษณพงษ์  กีรติกร (ซึ่งได้กรุณาเป็นประธาน พชภ. จาก พ.. ๒๕๓๘ ถึงปัจจุบัน)  ดิฉันจึงได้หารือ ศ.อำไพ  สุจริตกุล  ขอให้ท่านเป็นประธานนำคณะวิทยากร  จัดอบรมวิปัสสนากรรมฐาน  เพื่อทำบุญแผ่กุศลให้ผู้มีพระคุณทั้งหมด  เทพไท้เทวดา  เพื่อมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย  เป็นการเปิดใช้บ้านชิน  โสภณพนิช และบ้าน Accu  อย่างเป็นทางการ  เมื่อเดือนตุลาคม  ๒๕๓๘  มีเจ้าหน้าที่พชภ.และผู้ใฝ่ใจในธรรม  เข้าร่วมปฏิบัติ  ๔๐  คน 


 


นับจากการได้จัดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในครั้งนั้นแล้ว พชภ.ได้จัดต่อเนื่องทุกปี บางปีจัด ๒ ครั้ง เนื่องด้วยเห็นความสำคัญของการพัฒนาจิตใจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านวัตถุ เพื่อรู้จักชีวิตตามที่เป็นจริงพื่อลดละจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน อันจะเป็นผลให้จิตบริสุทธ์ เกิดปัญญาและความเมตตา มีกำลังที่จะทำหน้าที่ของตน ต่อครอบครัว ต่อสังคมไทยได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดสันติสุข เกิดความสงบร่มเย็นต่อตนเอง ครอบครัว หน่วยงาน และสังคมโดยรวม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ประเทศไทยมีภาวการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น  ผู้คนในสังคมเกิดความเครียด ท้อถอย สับสน จึงต้องการแสงสว่างแหงปัญญา ต้องการหลักที่ยึดจิตใจให้สงบมั่นคง พร้อมที่จะร่วมกันใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหา และดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ ใช้ชีวิตโดยเอื้ออาทรเกื้อกูลกัน ไม่เป็นผู้เบียดเบียนผู้อื่น เพราะการครอบงำของกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ


 



เมื่อวันที่ ๑๗ – ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา ได้จัดอบรมพัฒนาจิต เพื่อเจริญปัญญาและสันติสุข ตามแนวสติปัฐฐาน ๔ ขึ้นเป็นครั้งที่ ๑๔  ณ บ้านชินโสภณพนิช หมู่บ้านป่าคาสุขใจ ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยในครั้งนี้ มีผู้สนใจสมัครเข้าอบรมพัฒนาจิตจำนวน ๔๓ คนมาจากจังหวัดต่าง ๆ อาทิ สมุทรปราการ อุตรดิตถ์ ลำพูน เชียงราย ผู้เข้าอบรมมีทั้งพระภิกษุ สามเณร ข้าราชการพยาบาล ตำรวจ พนักงานบริษัทเอกชน  เจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชน นักเรียน นักศึกษา แม่บ้าน และผู้ที่รับจ้างทั่วไป อายุตั้งแต่ ๑๐ – ๖๕ ปี  มีทั้งคนเมือง และเยาวชนชาวอาข่า ลีซู ลาหู่


 


พิธีเปิดการอบรมเริ่มขึ้นตอนสายของวันพฤหัสบดีที่ ๑๗  พฤศจิกายน ๒๕๔๘  ผู้เข้าอบรมลงทะเบียนและจัดของเข้าที่พัก        ตัวแทนของมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขากล่าว


ต้อนรับผู้มาเยือน และเล่าถึงประวัติการทำงานของมูลนิธิ ฯ  ต่อด้วยกระบวนการของการอบรม ซึ่ง


เริ่มต้นด้วยการให้ผู้เข้าร่วมอบรมชม VCD ประวัติคุณแม่สิริ กรินชัย   จากนั้นศาสตราจารย์กิตติคุณอำไพ สุจริตกุล  กล่าวปฐมนิเทศก่อนการสวดมนต์และขึ้นกรรมฐาน


 


ศาสตจารย์กิตติคุณ อำไพ  สุจริตกุล ได้ปรับหลักสูตรการอบรมโดยเน้นการสอนให้เข้าใจ แก่นธรรม  ตรงหลักอย่างนักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญ  โยคีปฏิบัติอย่างเข้มแข็งเหมือนพระ โดยทุกคน


จะไม่พูดกันให้ดูกาย  ดูจิตอย่างติดต่อ เหมือนสายโซ่ โดยไม่ส่งจิตออกนอกกาย


 


กระบวนการอบรมมีการดู  VCD  ประวัติคุณแม่สิริ  กรินชัย การบรรยายธรรมเรื่อง สติปัฏฐาน ๔  เรื่องมาร ปิติ นิวรณ์ เรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องกุศโลบายปฏิบัติธรรม เรื่องอินทรีย์ ๕ พละ ๕ การเดินจงกรม นั่งสมาธิ การฝึกกำหนดอิริยาบถย่อย ฝึกสติบริหารกาย     การสอบอารมณ์เพื่อประเมินผลการปฏิบัติ และปรับแก้ความเข้าใจที่ผิดพลาด


 


โยคีจะเริ่มปฏิบัติตอนตีห้า โดยฝึกสติบริหารกายรับอรุณ ไหว้พระสวดมนต์ สมาทาน อาชีวัฎฐมกศีล เดินจงกรม นั่งสมาธิ รับประทานอาหารเช้าเวลา ๗.๓๐–๘.๓๐ น. แล้วปฏิบัติต่อ  รับประทานอาหารกลางวัน เวลา ๑๒.๐๐–๑๓.๐๐ น. รับประทานอาหารเย็นเวลา ๑๗.๐๐–๑๘.๓๐ น. ไหว้พระสวดมนต์  อ็นดู VCD บรรยายธรรม แล้วปฏิบัติบรรลังก์สุดท้าย ก่อนจะดื่มน้ำปานะแล้วเข้านอน เวลา ๒๑.๓๐ น.  โดยโยคีจะเจริญสติตั้งแต่เริ่มตื่นนอน จนถึงเข้านอน


 


การทำพิธีสำคัญ เช่น พระในบ้าน หลังจากปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมาแล้ว ๔ วัน ศ.อำไพได้จัดให้มีพิธีขออโหสิกรรมต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์และบุคคลผู้มีพระคุณ   โดยพ่อแม่ลูกที่มา


ปฏิบัติจับคู่กัน   ทำให้หลายคนน้ำตาคลอ   บางคนร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความสำนึกในบุญคุณ


ของผู้มีพระคุณ    และด้วยความระลึกถึงบุคคลที่ได้อำลาจากโลกนี้ไปแล้ว  หลายคนคิดถึงพ่อแม่


ที่อยู่ที่บ้าน ที่ไม่มีโอกาสได้มาปฏิบัติกรรมฐานพร้อมกัน


 


อีกพิธีหนึ่งคือพิธีมาลาบูชาคุณ  เป็นกิจกรรมที่ผู้เข้าอบรมทุกคนแสดงความกตัญญูต่อผู้


มีพระคุณทุกฝ่าย  ตั้งใจปฏิบัติในวันที่ ๗ วันสุดท้ายของการอบรมก่อนแยกย้ายกันกลับภูมิเลาเนา


ของตนเอง เพื่อไปปฏิบัติภารกิจของตน ด้วยการเลือกตัวแทนผู้เข้าอบรม ๕ คน เพื่อถือพานพุ่มดอกไม้ ไปบูชาคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ / บูชาคุณบิดา มารดา / บูชาองค์กษัตริย์/บูชาผู้มีคุณ/และบูชาคุณครู ในพิธีนี้จะมีบทสวดสรภัญญะที่ไพเราะซึ่งบางคนแอบน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจ  เพลงมาลาบูชาคุณ  มีเนื้อร้องดังนี้


 


บทสวดสรภัญญะ  มาลาบูชาคุณ


 


            (สร้อย) มาลาพวงดอกไม้  (ซ้ำ)               มาตั้งไว้เพื่อบูชา


                        บูชาคุณพระพุทธ (ซ้ำ)               ที่ได้ตรัสรู้มา


                        บูชาคุณพระธรรม (ซ้ำ)              ที่ได้นำความสุขมา


                        บูชาคุณพระสงฆ์  (ซ้ำ)               ผู้ดำรงพระวินัย


            (สร้อย) ………………….


                        บูชาคุณบิดาบูชาคุณมารดา        เลี้ยงลูกมาจนโตใหญ่


            (สร้อย)  ……………………


                        บูชาองค์กษัตริย์ (ซ้ำ)                 อีกทั้งรัฐและชาติไทย


            (สร้อย) ………………………


                        บูชาผู้มีคุณ (ซ้ำ)                        ที่เจือจุนด้วยน้ำใจ


            (สร้อย) ………………………


                        บูชาแด่คุณครู (ซ้ำ)                    ที่เอ็นดูสอนศิษย์มา  (ซ้ำ)


 


ศ.กิตติคุณ อำไพ สุจริตกุล ปรับปรุงจากบทสวดเดิม ของพระภิกษุ ภาคอีสาน


 



ในการจัดอบรมครั้งนี้สร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมอบรมอย่างยิ่ง   ทั้งสภาพอากาศ


ที่เย็น มีเมฆหมอกปกคลุมห้องที่ปฏิบัติกรรมฐาน อีกทั้งยังได้สัมผัสกับผืนดินที่มีแผ่นหญ้าปกคลุม


และเต็มไปด้วยน้ำค้างในการเดินจงกรมยามเช้าตรู่เป็นการรับอรุณ  การฝึกสติบริหารกาย  รับแสง


แดดอ่อนยามเช้า


 


วันสุดท้ายคณะสงฆ์นำโดยพระอาจารย์สุธน ถิระญาโณ  แห่งวัดพระธาตุน้ำดอกบัวทอง ๑๒ ราศี  ต.โรงช้าง อ.ป่าแดด จ.เชียงราย ได้ออกบิณฑบาตรในหมู่บ้านป่าคาสุขใจ ซึ่งชาวบ้านทั้งผู้เฒ่าผู้แก่วัยรุ่น และเด็กได้เตรียมห่อข้าวด้วยใบตอง มัดตอกอย่างประณีต  เพื่อนำมาถวายพระ   เป็นภาพงามที่น่าปลื้มปิติ  ทุกคนได้รับพรจากคณะสงฆ์อย่างอิ่มเอิบใจ


 


การจัดงานครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี   เพราะได้รับความเมตตากรุณาและความร่วม


มือจากหลายฝ่าย  ทั้งผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทุนทรัพย์ทุกท่าน   เจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาชุมชน


และเขตภูเขา น้อง ๆ นักศึกษาฝึกประสบการณ์โปรแกรมพัมนาชุมชนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ


เชียงราย และโปรแกรมภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตพะเยา มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้  ขอให้ทุกคนในสังคมได้มี


โอกาสเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อสร้างปัญญาและสันติสุข แก่ตนเองและสังคมโดยทั่วหน้ากัน


 


* ขอขอบคุณมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขาที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบ


 


                                                                                                      กลับหน้าแรกประชาไท