Skip to main content

ฮอยอันฉัน (ก็) รักเธอ (ตอนจบ)

คอลัมน์/ชุมชน

ผมไปเป็น ‘ ทัวริสต์’ ท่องฮานอย เว้ ดานัง และฮอยอัน ของเวียตนามมาครับ


ตอนที่แล้ว ได้เล่าถึงความขยันและประหยัดของชาวเวียตนามไปแล้ว แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่อง ‘ ฮอยอันฉัน (ก็) รักเธอ’ ตามที่สัญญาไว้ ขอพูดถึง พี่น้องคนเวียตนามต่ออีกเล็กน้อย


สาวเวียตนามนั้น ถือว่าเป็นสุดยอดของความขยันได้อีกเช่นกัน กล่าวคือ พร้าก็แกว่ง เคียวก็ไกว ขนหินก็ได้ ขายของก็เป็น กลับถึงบ้านก็ยังต้องทำงานบ้าน (ไม่ทำ-ไม่ได้)


ในทางประวัติศาสตร์นั้น สาวเวียตนามมีบทบาทสำคัญในการกู้ชาติอย่างมาก มีรูปภาพโฮจิมินต์ หรือลุงโฮของคนเวียตนาม ถ่ายร่วมกับสาว ๆ ในสนามรบ เคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบหนุ่มทั้งหลาย


แต่คนได้ดิบได้ดีในคณะผู้บริหารประเทศ ก็คือผู้ชายเหมือนเดิม (ฮา)


มีข้อมูลว่า ผู้จบปริญญาในปัจจุบันครึ่งหนึ่งก็เป็นผู้หญิง แต่โอกาสการได้งานดี ๆ ก็ยังเป็นของ ‘ คนมีจู๋’ ซะเป็นส่วนใหญ่


พูดถึงเรื่องสาวเวียตนาม ตอนผมขี่จักรยานตามหลังนักเรียนหญิงเวียตนาม ขณะมองทางข้างหน้า ผมก็เห็นว่าน้อง ๆ นักเรียนวัยรุ่นเขาใส่เสื้อชั้นในโดยไม่ต้องใส่เสื้อทับ ก็พาลนึกถึงนักเรียนบ้านเราที่ถูกบังคับให้ใส่เสื้อทับ ผมเผ้า การแต่งกาย ก็ถูกสั่งให้เป็นไปตามระเบียบสารพัด


เลยสงสัยว่า เมื่อไหร่หนอกระทรวงศึกษาฯ บ้านเราจะเลิกยุ่งกับการแต่งกายและชีวิตส่วนตัวของนักเรียนเสียที กระทรวงฯ ควรไปทำ ‘ หน้าที่’ พัฒนาครู พัฒนาหลักสูตรเก๋ ๆ ให้เด็ก ๆไม่ดีกว่ารึ


สำหรับเรื่องเมือง ฮอยอันนั้น เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่น่าประทับใจจริง ๆ ครับ อาคารบ้านเรือนแบบโบราณในพื้นที่ราว ๆ หนึ่งตารางกิโลเมตร ยังคงอยู่ในสภาพดี มีผู้คนท้องถิ่นอาศัยอยู่ จึงเหมือนเราเดิน ‘ ย้อนเวลาหาอดีต’ เพื่อชดเชยจิตใจที่ ‘ โหยหาสวรรค์หาย’


องค์การยูเนสโกประกาศคุ้มครองให้เมืองฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลก เมื่อ ๒๕๔๒ เพื่อธำรงรักษาตัวเมืองเอาไว้ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลง เป็นอยู่อย่างไรก็ให้เป็นอยู่อย่างนั้น สวนทางกับ ‘ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ชอบกลอยู่เหมือนกันครับ


ความจริงอยุธยา และสุโขทัยของเราก็ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก ทว่าเฉพาะส่วนที่เป็น ‘ ซากเมืองเก่า’ เท่านั้น บริเวณบ้านเมือง ร้านค้าที่มีผู้คนอยู่อาศัยในปัจจุบัน ไม่ถือว่าอยู่ในเขตมรดกโลก


แต่ที่ฮอยอัน เมืองเก่าโบราณ เป็นเมืองที่มีคนอยู่ เมื่อถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลก ฮอยอันจึงกลายเป็น ‘ พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต’ ที่มีคนจากนานาชาติมา ‘ เดินดู’ และ ‘ จ้องมอง’


อันนี้ล่ะครับ ที่ผมรู้สึกว่าฮอยอันกำลังชอกชํ้าจากการถูกจ้องมอง เพราะนัยหนึ่ง ผู้จ้องคือผู้ที่แสดงอำนาจเหนือกว่าผู้ถูกจ้อง ทำให้ผู้ถูกจ้องรู้สึกว่าตัวเล็กลงทุกวั้น ทุกวัน ชาวเมืองส่วนหนึ่งจึงพลิกตัวด้วยการขายบ้านให้นักธุรกิจหรือแม้แต่คนต่างชาติ ทำเป็นร้านขายของที่ระลึก (ซึ่งสินค้าราคาแพงกว่าที่ฮานอย) หรือทำร้านอาหาร เพื่อตอบสนอง ‘ ทัวริสต์’ กันทั้งเมืองเก่า


ฮอยอันในอดีต เป็นเมืองท่าที่สำคัญในยุคคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗-๑๙ เคียงบ่าเคียงไหล่กับมาเก๊า และมะละกา จากนั้นดานัง ซึ่งอยู่ห่างจากฮอยอันไปราว ๓๐ กม. ก็กลายมาเป็นเมืองท่าสำคัญแทนฮอยอัน เพราะแม่นํ้าไคที่ไหลผ่านฮอยอันเริ่มตื้นเขินจนเรือใหญ่ ๆ เข้าไม่ได้


ฮอยอัน เคยเป็นเมืองท่าค้าขายสินค้ากับฮอลแลนด์ โปรตุเกส อินเดีย จีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และไทย ฯลฯ สินค้าที่นานาชาติต้องการจากฮอยอันคือผ้าไหม เครื่องกระเบื้อง ชา และสมุนไพร ฯลฯ


กล่าวกันว่า พ่อค้าจีนและญี่ปุ่นจะอาศัยกระแสลมล่องเรือลงมาฮอยอันในฤดูใบไม้ผลิ และอาศัยอยู่ที่ฮอยอันในฤดูร้อน ๔ เดือน จากนั้นก็จะอาศัยลมใต้พาเรือกลับประเทศตัวเอง


ช่วงที่พ่อค้นจีนและญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในฮอยอันเพื่อรอกระแสลมนั้น ก็จะเช่าบ้านอยู่อาศัยและทำธุรกิจในฮอยอัน ทำให้จีนและญี่ปุ่นมีอิทธิพลต่อเมืองฮอยอันมาก ในช่วงฝรั่งเศสครองเวียตนาม (๒๔๒๖-๒๔๙๗) ฮอยอันก็เป็นศูนย์กลางการบริหาร ช่วงสงครามกลางเมืองกับสงครามกับสหรัฐฯ (๒๕๐๔-๒๕๑๘) ฮอยอันก็ไม่ถูกทำลายไปนัก เพราะฮอยอันให้ความร่วมมือกับนักรบทุกฝ่าย


เมืองฮอยอัน จึงมีอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่กว่า ๘๐๐ รายการที่อยู่ในสภาพดี ว่ากันว่าหลังคากระเบื้องดินเผาในช่วงหน้าฝน จะกลายเป็นสีเขียวสดใสทั้งเมืองเพราะมีมอสขึ้น


การอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เหล่านี้อาศัยความร่วมมือจากนานาชาติ และนักท่องเที่ยวต้องจ่ายคนละ ๓ เหรียญเพื่อไป ‘ จับจ้อง’ ชีวิตส่วนตัวของชาวฮอยอัน


ในช่วงกลางคืนจะมีการปิดถนนให้ทัวริสต์เดิน โดยไม่ต้องกังวลกับรถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ ส่วนรถใหญ่ ๆ ก็แทบจะเข้าไม่ได้อยู่แล้วครับ เพราะตรอกซอยในเขตเมืองเก่านั้นคับแคบมาก


มีเพื่อนที่เคยไปฮอยอันเล่าว่า คนฮอยอันเมื่อ ๕-๖ ปีก่อน นิสัยดี น่ารัก โอภาปราศรัย แต่ไปเที่ยวนี้รู้สึกว่าอัธยาศัยเหล่านั้นเลือนหายไปอย่างชัดเจน


ไม่น่าเชื่อว่า อำนาจของการ ‘ จับจ้อง’ จะทำให้ฮอยอันเปลี่ยนไป


ฮอยอัน ฉัน (ก็) รัก (และห่วง) เธอจริงๆนะ (เฮ้อ)