ครั้งแรกของฉัน : ฟังดนตรีข้างทางอย่างตั้งใจ
คอลัมน์/ชุมชน
จันทน์กะพ้อ
กลางดึกอันอึกทึกครึกครื้นของเมื่อวาน ฉันเดินทอดน่องไปตามตรอกซอกซอยของถนนสีลมอย่างสบายอารมณ์ ผับ เทค ร้านอาหารทั้งไทยและเทศเข้าจับจองพื้นที่ภายในซอยแทบทุกซอย ดีกรีของเสียงเพลงจากร้านนู้นเข้าผสมปนเปกับร้านนี้ จนบางทีก็ยากที่จะจำแนกแยกแยะว่า เพลงที่กำลังได้ยินอยู่นั้นคือเพลงอะไร ซึ่งในความคิดของฉัน ความวุ่นวายเล็กๆ อย่างนี้เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่งของสีลม ก็แหม! จังหวะเร็วๆ ของดนตรีช่างท้าทายเส้นประสาทบริเวณปลายเท้าจนอดที่จะ "แอบขยับ" ไปตามจังหวะที่เร่งเร้าเหล่านั้นไม่ได้
หลุดจากความวุ่นวายที่น่าหลงใหลมาสู่ถนนกว้างที่นานๆ รถจะโล่งให้คนเดินเท้าได้ข้ามถนนอย่างไม่ต้องเกรงหน้าระวังหลังมากนัก ฉันข้ามถนนอย่างปลอดภัยและมุ่งตรงสู่ป้ายรถเมล์หน้าตึกซีพี ทาวเวอร์
"ได้เวลากลับบ้านแล้ว" ฉันบอกกับตัวเอง ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้า "ลูกกะตาเจ้ากรรม" ไม่บังเอิญเหลือบไปเห็น "คุณลุง" ท่านหนึ่งซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนเข้าให้
คุณลุงอารมณ์ดียืนสะพายกีตาร์ร้องเพลง แถมยังคล้อง "หีบเพลงเป่า (mouth organ)" ไว้ในระดับปากเพื่อความสะดวกในการเป่า ท่าทาง "ติสต์ๆ " ของคุณลุงสะกิดปากชวนให้อยากเข้าไปทักทายพูดคุยกับแกเสียเหลือเกิน
คุณลุงเล่าให้ฟังว่า อาชีพของแกคือ การทำงานอิสระ (Freelance) ที่ค่อนข้างเป็นหลักเป็นแหล่งคือ ไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำแต่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานนั้นๆ อย่างเป็นประจำ
"ลุงทำงานตั้งหลายอย่าง มาเล่นดนตรีเล่นๆ หรือคะ" ฉันถามออกไปเมื่อได้รับรู้เรื่องของการงานที่แก (รับ) ทำซึ่งมากมายพอสมควรสำหรับคนที่มีเวลาในหนึ่งสัปดาห์เท่ากับคนอื่นๆ
"เล่นจริงๆ เก็บตังค์ใช้หนี้" แม้คำพูดและน้ำเสียงออกจะทีเล่นทีจริง แต่สีหน้าและแววตาของคุณลุงแฝงความเป็นจริงเป็นจังเอาไว้
"เมื่อก่อนเล่น คนล้อมวงเข้ามาฟังเยอะมาก เดี๋ยวนี้น้อยลง เพราะคนเล่นมันมากขึ้น บางคนเล่นเป็นแค่เพลงสองเพลง แต่เห็นว่าเล่นแล้วได้ตังค์ก็ออกมาโชว์ มันก็เลยเกลื่อน" นี่คือประโยคต่อมาที่คุณลุงบอกกับฉัน
เมื่อได้ยินอย่างนั้น มันก็ยากเสียเหลือเกินที่จะบังคับสายตาไม่ให้เหลือบไปยังกระเป๋า ใส่กีต้าร์ที่วางแบ ลงบนพื้น ซึ่งยามนี้มันถูกใช้เป็นที่รองรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่ชอบใจในการเล่นและร้องของคุณลุง ซึ่งก็ไม่ทราบว่า การแสดงในคืนนี้ของคุณลุงเพิ่งเริ่มต้นหรืออย่างไร สินน้ำใจจึงมีเพียงน้อยนิด คะเนด้วยสายตาไม่น่าจะเกิน 30 บาท
ฉันปรายสายตาขึ้นมาในระดับปกติ และตั้งต้นเหลียวหลังแลหน้ามองดูคนรอบข้างด้วยความสงสัยว่า บนถนนแห่งแสงสี ดนตรี และความครึกครื้นแห่งนี้มีผู้คนที่สนใจในบทเพลง (ไม่รู้กี่เพลงต่อกี่เพลง) ของคุณลุงที่ขนมาโชว์เพียงเท่านี้เองหรือ?
และแล้วก็ถึงบางอ้อ ไม่ใช่ว่า "ไม่สนใจฟัง" แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่ "ไม่ฟัง" เพลงของคุณลุงเลยด้วยซ้ำ!
คงเป็นเพราะเทคโนโลยีแห่งดนตรีที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เพลงอยู่ "ติดหู" คนฟังได้ตลอดเวลาถ้าเขาต้องการ ซึ่งเทคโนโลยีแบบนี้มีให้เห็นหลายรูปแบบ ทั้งโทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่น MP3, I-Pod ฯลฯ
คงเป็นเพราะใครๆ ต่างก็ชอบที่จะเพลิดเพลินไปกับดนตรีในแบบที่ตัวเองชอบ โดยที่ไม่ต้องเอา "หู" ไปรับฟัง "อะไร" ที่ไม่พึงประสงค์
บทสนทนาระหว่างฉันกับคุณลุงจบลงไปนานแล้ว และฉันกำลังขบคิดหาส่วนผสานแห่งช่องว่างระหว่างการแสดงสดของคุณลุงกับการแสดงที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบ (แต่ไม่สด) ของเครื่องมือเทคโนโลยีทั้งหลายแหล่
"เปิดโถด เอ๊ย โปรดเถิดดวงใจโปรดได้ฟังเพลงนี้ก่อน อย่าด่วนหลับนอน อย่าด่วนทอดถอนฤทัย " เพลงสุดท้ายของคุณลุงลอยเข้ามากระทบโสตประสาท
รอยยิ้มเล็กๆ ระบายขึ้นมาบนมุมปากของฉันอย่างไม่รู้ตัว