Skip to main content

จดหมายถึงผู้อ่าน

คอลัมน์/ชุมชน

เรียนท่านผู้อ่าน


 


ไม่นานมานี้ มีชายคนหนึ่ง ขายหุ้นของสมาชิกในครอบครัว ให้แก่ต่างชาติ ได้เงินมา ๗ หมื่นล้านบาท แต่ไม่ต้องเสียภาษีสักแดงเดียว


 


หุ้นที่ขายไป ล้วนเป็นหุ้นด้านธุรกิจโทรคมนาคม การสื่อสาร และการบินพาณิชย์ ซึ่งเป็นกิจการด้านความมั่นคงของชาติ แต่เขาก็ขายเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง


 


ประชาชนคนเดินดิน ไม่พอใจการกระทำของเขาอย่างยิ่ง แต่เขาก็อ้างว่าเขาทำตาม "กติกู" ทุกอย่าง โดยมีเนติบริกร และขุนนาง คอยประดิษฐ์เรื่องผิดของเขาให้เป็นเรื่องถูก


 


ในที่สุดเมื่อสังคมเริ่มตั้งคำถามหนักขึ้น เขาก็ชิงยุบสภาหนีการอภิปราย ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการเปิดสภาเลย


 


พรรคการเมืองอื่นๆ ไม่มีใครยอมสังฆกรรมลงสมัครรับเลือกตั้งที่จะเป็นการ "ฟอกขาว" ให้เขาและคณะพรรค และเริ่มมีการรณรงค์ให้คนไปกาช่องไม่ลงคะแนนเพื่อบอกว่าไม่ยอมรับเขา


 


เมื่อใกล้จะเลือกตั้ง เขาจับเอา "โครงการ ๓๐ บาทฯ" "กองทุนหมู่บ้าน" รวมทั้ง "โครงการรถไฟฟ้า" เป็นตัวประกัน หากเขาไม่ชนะ โครงการฯเหล่านี้อาจถูกฆ่าตัดตอน


 


ส่วนประชาชนที่ออกมาชุมนุมต่อต้านระบอบของเขา เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น "พวกกฎหมู่" ไม่เคารพกฎหมาย ทั้งๆ ที่เป็นการชุมนุมของคนเรือนแสนโดยสงบ จนสื่อต่างชาติต้องตีข่าวไปทั่วโลก


 


เขาคงฉุน "พวกกฎหมู่" มาก เพราะไปชุมนุมขับไล่เขาถึงหน้าที่ทำงาน จนเขาต้องตระเวนไปหาสถานที่อื่นๆ ใช้เป็นที่ทำงาน


 


 "พวกกฎหมู่" นี่แหละ ที่ออกมาขุดคุ้ยเรื่องที่เขาขายรัฐวิสาหกิจเพื่อเอาหุ้น การงุบงิบลงนามเอฟทีเอ การทุจริตปุ๋ยปลอม ทุจริตลำไย ทุจริตกล้ายาง ทุจริตสุวรรณภูมิ หรือการ "ปั่น" ตลาด แล้วให้นอมินีคอยช้อนซื้อหุ้น ฟันกำไรงามๆ


 


ยังมีการแฉอีกว่า เขาได้แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระจนไม่สามารถตรวจสอบการกระทำผิดของเขาและพรรคพวกได้


 


สื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ถูกแทรกแซงจนหมดแรง (และศักดิ์ศรี?) ในการตรวจสอบเขา


 


ผลงานด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเขาก็ลํ้าหน้า ตั้งแต่การหายไปของทนายสมชาย การหายไปของประชาชนใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ การตายหมู่ที่กรือเซะ ตากใบ รวมทั้งประชาชนจำนวนมากถูกฆ่าอย่างปริศนาตามนโยบายปราบปรามยาเสพติด


 


หลังเลือกตั้ง พรรคของเขาได้รับชัยชนะท่ามกลางความกังขาของประชาชน เพราะองค์กรที่จัดการเลือกตั้งล้วนมีพฤติกรรมช่วยเหลือพรรคของเขา โดยเฉพาะการทุ่มทุนสร้างให้พรรคเล็กได้เวียนเทียนลงเลือกตั้งแข่งกับพรรคใหญ่ หรือการไม่เอาผิดการซื้อเสียงของเขา ทั้งๆ ที่มีหลักฐานเป็นรูปถ่ายชัดเจน


 


ฟ้ายังมีตา การเลือกตั้งอัปยศถูกวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ เขาถอยฉากออกจากวงการเล็กน้อย ลาพักไปเข้าพบผู้นำประเทศต่างๆ โดยไม่มีใครแน่ใจว่าได้พบกับผู้นำคนไหนบ้าง และพบในลักษณะใด


 


องค์กรจัดการเลือกตั้งถูกศาลฎีกาพิจารณาว่าหมดความชอบธรรมที่จะจัดการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรมต่อไปอีกได้ แต่พวกเขาก็ยัง "ไฟแรง" เดินหน้าจะจัดการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมให้ได้


 


เมื่อการเลือกตั้งรอบใหม่ถูกกำหนด เขาจึงวกกลับมาทำงานอีกครั้ง โดยอ้างว่า ระหว่างรอการเลือกตั้งอีกยาวนานนี้ ประชาชนร้องขอให้เขาช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ ปัญหายาเสพติด และปัญหาเศรษฐกิจ


 


ทว่านับแต่เขากลับมาทำงาน ก็แทบไม่เห็นเขาทำงานในประเด็นปัญหาทั้งสามที่ใช้เป็นเหตุผลในการกลับมาเลย


 


ช่วงนี้เองที่เขาชิงความได้เปรียบคู่แข่ง โดยการกลับไปพูดคนเดียวตอนเช้าวันเสาร์ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ และหาเรื่องป้ายสี "ผู้มีบารมี"


 


แล้วก็มีคนมาปูดว่า เขาได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำนองฟ้องว่า เขาถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ทั้งที่เขาชนะการเลือกตั้งอย่างใสสะอาด และยังฟ้องบุชว่าพวกชุมนุมเป็นพวกใช้วิธีนอกกฎหมาย คุกคามประชาธิปไตย


 


จดหมายฉบับนี้ เป็นจดหมายที่ถูกตั้งฉายาว่า "จดหมายถึงพ่อ"


 


พลพรรครอบตัวเขา บ้างก็ว่าไม่มีการเขียนจดหมายแบบนี้หรอก ยกหูหาบุชง่ายกว่า


บ้างก็ว่ามีจดหมายแบบนี้ฉบับเดียว ทั้งๆ ที่ถูกจับได้ในภายหลังว่ามีการส่งออกไปถึง ๑๐ ประเทศ


บ้างก็ว่าเป็นจดหมายส่วนตัว บ้างก็ว่าเป็นจดหมายทางการในนามรัฐบาล


ซื่อสัตย์ จริงใจ รับใช้ประชาชนจัง....


 


ระยะนี้ ไม่รู้เป็นอะไร เขาก้มหน้าก้มตาจะเปิดสุวรรณภูมิให้ได้ และยืนหยัดจะให้มีเลือกตั้ง จัดโดยหน่วยงานที่สังคมติฉินในความเที่ยงธรรม


 


แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องราวบางส่วนของเขา


แต่ถือเป็นคำถามถึงเราด้วยว่า "แล้วเราจะเอายังไง"