Skip to main content

"แพะ" ที่ชื่อ "ลาว"

คอลัมน์/ชุมชน

คงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักที่ประเทศลาวออกมาตำหนิไทยที่โยงเอาลาวไปเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในที่นครพนม


 


เรื่องของเรื่องก็คือว่า ก่อนหน้านี้นายแพทย์จรัล ตฤณวุฒิพงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยถึงการพบการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกที่นครพนม ซึ่งถือเป็นพื้นที่ใหม่ที่ไม่เคยมีการแพร่ระบาดมาก่อน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากเกษตรกรส่งออกไข่ไก่ไปขายในประเทศเพื่อนบ้าน และนำถาดรองไข่จากประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจติดเชื้อไข้หวัดนกกลับเข้ามา (มติชน ๓๑ ก.ค.๔๙)


 


วันถัดมาโฆษกกระทรวงการต่างประเทศลาว นายยง จันทรังสี  ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ว่า "การพูดเช่นนั้นเป็นการพูดของเจ้าหน้าที่ที่ไร้ความรับผิดชอบและไร้มารยาท ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ควรจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหามากกว่าที่จะชี้นิ้วโยนกลองให้คนอื่น" (มติชน ๑ ส.ค.๔๙)


 


แม้การสอบสวนโรคเพื่อหาต้นตอจะเป็นประเด็นสำคัญในแง่ของระบาดวิทยา และการควบคุมโรค


 


ทว่าหากมองในแง่สังคมและโครงสร้างอำนาจแล้ว ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ กระบวนการประกอบสร้าง "แพะ" เพื่อโยนความผิดใส่ผู้อื่น และตัวเองจะได้ลอยตัว


 


หากสังเกตดูให้ดีจะพบว่า ผู้มีอำนาจในสังคมมักจะสื่อสารสู่สาธารณะเพื่อกุมสภาพการมีอำนาจของตนไว้ โดยใช้ยุทธวิธีต่างๆ อาทิ


 


การดิสเครดิตคนอื่น เช่น เมื่อมีคนออกมาท้วงติงเรื่องความไม่พร้อมของสุวรรณภูมิ ก็จะถูกทั่นผู้นำดิสเครดิตว่าเป็นผู้ไม่รู้จริง หรือกรณีมีข่าวว่าดร.สมคิดจะเว้นวรรค ทั่นผู้นำก็ว่า ดร.สมคิดเป็นเพียงลูกมือ เพราะคนที่ทำงานเศรษฐกิจตัวจริงคือทั่นผู้นำ


 


การจัดกลุ่มเทพ-มาร เช่น ตัวเองจะเป็นนายกฯหรือไม่ไม่สำคัญ แต่จะขอรักษาประชาธิปไตยไว้ด้วยชีวิต โดยไม่ยอมให้ "กุ๊ย" ที่ชุมนุมข้างถนนมาทำลายกติกา


 


การเสนอ "ทางเลือก" ที่มีคำตอบเดียว เช่น ต้องหันหน้าเข้าหากัน ซึ่งแปลว่าต้องให้คนอื่นๆ ปรับตัวหันหน้าไปปรองดองกับผู้พูด


 


หรือแม้แต่การโกหกหน้าตาเฉย เช่น ตอนที่ประชาชนจำนวนมากสงสัยพฤติกรรมของ กกต. ทั่นผู้นำกับคณะก็พาเหรดกันออกมาปกป้องว่า "กกต.ทำผิดอะไร" แต่สุดท้าย กกต.ก็ต้องไปนอนคุก


 


หรือกรณีเขียน "จดหมายถึงพ่อ" ที่ทั่นและพรรคพวกพากันปฏิเสธว่าไม่มี แต่พอสื่อเอาตัวจดหมายมาเปิดเผย ก็แก้ตัวว่ามีเพียงฉบับเดียว ทั้งๆ ที่ภายหลังก็ถูกจับได้อีกว่ามีนับสิบฉบับ


 


หรือกรณีเดินทางแบบฉุกเฉินจนรถนำขบวนไปชนกับรถของประชาชน เพื่อขึ้นเครื่องบินไปพบผู้นำพม่า แล้วบอกว่าเป็น "การทูตยุคใหม่" ได้ไปคุยกับพม่า "๒๕ นาที" ในหลายเรื่องทั้งยาเสพติด ความมั่นคง การพัฒนา เศรษฐกิจ การค้า ฯลฯ ยืนยันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติทั้งสิ้น ครั้นสื่อมวลชนถามว่ารายละเอียดในการคุยกันคืออะไร กลับบอกว่าพูดไม่ได้ เป็นความลับ


 


การใช้ "แพะ" ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธวิธีสำคัญ ใช้กันมานมนาน และบ่อยครั้ง บ่อยจนกระทั่งศิลปินสามารถเอาไปแต่งเพลงที่มีชื่อว่า "วิชาแพะ"


 


หลักการของการประกอบสร้างแพะก็คือ ผู้สร้างแพะต้องการการเลือกปฏิบัติ เพื่อหาความสบายในการแก้ไขปัญหาให้แก่ตัวเอง โดยโยนความผิดนั้นให้แก่ผู้อื่น เพราะเป็นวิธีที่ง่ายกว่าในการกลบเกลื่อนปัญหาที่ตัวเองมีส่วนในการก่อหรือรับรู้ และยังเป็นวิธีการที่ดูเหมือนโปร่งใส น่าเชื่อถือ เพราะผู้สร้างแพะมักกุมข้อมูลส่วนใหญ่เอาไว้ แล้วประกอบสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อให้ผู้อื่นเป็นแพะช่วยรับเคราะห์ไปแทน


 


หากสาธารณชนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือไม่มีการทักท้วงอย่างเอาจริงเอาจัง ปัญหาก็จะไม่ถูกแก้ แต่มีแพะ แบ๊ะแบ๊ะเกลื่อนเมือง


 


 "โจรใต้ใจอำมหิต" "พ่อค้ายาเสพติด/ของเถื่อน" ยัน "ผบ.ทบ." จึงกลายเป็นแพะของปัญหาภาคใต้ ทั้งๆ ที่ กอส.ชี้ให้เห็นแล้วว่า "ใคร" คือรากของความรุนแรง แต่ทั่นไม่ค่อยให้ความสนใจ


 


 "เด็กมั่วเซ็กส์" "เด็กบ้าบอล" "เด็กบ้ามือถือ" จึงกลายเป็นแพะของปัญหาสังคม ทั้งๆ ที่เจ้าของม่านรูด เจ้าของสื่อโป๊ เจ้าของผับ เจ้าพ่ออุตสาหกรรมฟุตบอล เจ้าของร้านเกม เจ้าของธุรกิจมือถือ คือ "ผู้ใหญ่" ที่ล่อลวงเงินเด็กทั้งสิ้น


 


 "ผู้มีบารมี" จึงกลายเป็นแพะของปัญหาทางการเมือง ทั้งๆ ที่เหตุแห่งปัญหามาจากมหาเศรษฐีขายหุ้น แต่ไม่จ่ายภาษี สามารถแยก "จริยธรรม" ออกจากการทำ "ธุรกิจ" แถมยังฉ้อฉลเพื่อตัวเอง และเครือญาติในอีกหลายๆ กรณี เช่น การซื้อ กกต. ให้กลายเป็น "คนของเรา" หรือ การตั้งกุหลาบแก้วเป็นนอมินีให้สิงคโปร์ ฯลฯ กระทั่งผู้คนต้องออกมาประท้วงบนท้องถนน


 


และในที่สุดก็ไม่เว้นแม้แต่ "ลาว" ที่ต้อง (ถูกทำให้) กลายเป็นแพะของหวัดนกในประเทศไทย


 


มีข้อมูลยืนยันได้ว่า ในช่วงปลายปีที่แล้ว รถทุกคันที่ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อลงถึงตีนสะพานฝั่งลาวแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ลาวฉีดน้ำยาเคมีไปที่ล้อรถทุกล้อ ทุกคัน


 


ขณะที่ฝั่งหนองคาย ได้ทำอะไรกันบ้างหรือเปล่า?


เราควรเร่งหาแพะ หรือควรเร่งแก้ปัญหาแบบไม่ลูบหน้าปะจมูก มากกว่ากัน?