Skip to main content

หลุด(จบ) 7 ธันวา พระพุทธเจ้ามาบ้าน


 


ผมเห็นจีวรพระทุกครั้ง  ผมเห็นพระพุทธเจ้า  ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  แล้ว


 


นาทีนั้น   ทุกอย่างในกายดูเหมือนจะร่วงลงกับพื้น  แบวางให้มองเห็นความจริงอีกด้าน  บ่อยครั้งช่วยปลดปลง  เห็นสัจธรรม  ข้ามผ่านหัวข้อยุ่งยาก  มองผ้าสีจีวร  มองพระเดินผ่านไป  พระพุทธเจ้ากำลังเดินผ่านหน้าไป


 


7 ธันวาคม วันไฟสุมอก  ผมข้ามผ่านวันนี้ไปอย่างยากลำบาก  เหมือนนอนให้ไฟสุมอกทั้งวัน  ผมอยากอยู่บนพื้นที่แคบที่สุด  รับรู้ข่าวสารภายนอกให้น้อยที่สุด  เคลื่อนไหวอยู่ในมุมแคบๆ  อยู่กับสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัวที่สุด


 


หนังสือเล่มที่รักและให้สัจธรรมความงามในชีวิต  กีตาร์ตัวที่โอบกอดมานานปี  บทกวีบทที่รัก  รดน้ำต้นไม้  มองฟ้ามองดิน  แต่ไม่วายมองเห็นภาพชีวิตวันที่ 7 ธันวาคม ภาพอันโหดร้ายหน่วงหนักที่ไม่อาจละลายหายไปจากใจ


 


แล้วโลกภายในอกผมก็โดนกรงเล็บคมๆ ขย้ำขยุ้ม  ข่วนกรีดผ่านซ้ำๆจนผมเจ็บอก เป็นอย่างนี้ตลอดวัน 


 


เรื่องไม่คาดคิดก็มาถึง  ประตูบ้านมีร่างหนึ่งเคลื่อนไหว  ผมเห็นครั้งแรกถึงกับผงะ


พระมาบ้าน  และมีคำถามต่ออีกว่า เป็นใคร?


ผมนิมนต์ขึ้นบ้าน  ย่ามกับจีวรเท่านั้น  ห่มคลุมร่างเขาไว้  แววตาเขาก็เปลี่ยนไป  ไม่เหลือร่องรอยคนเดิมให้เห็น  ใจผมเย็นเฉียบ 


 



 


พบหน้าเขาทุกครั้ง  เราต้องพูดถึงเรื่องการเดินทาง  สภาวะภายในที่เราผ่านพบ ข้ามผ่าน  เหตุการณ์ร้ายดีที่เราประสบพบเห็น  เรื่องของหนังสือ  เพลง  เขาเป็นนักแต่งเพลง  ดนตรี เขาเป็นนักดนตรี  เพลงใหม่  หยิบมาร้องให้ฟัง  ดื่มชา กาแฟ 


 


ไม่เคยเลยสักครั้งชวนเขาดื่มเหล้าเบียร์  เราพบหน้ากันในบรรยากาศปราศจากแอลกอฮอล์เสมอมา  แต่เรื่องที่พูดคุยกัน  ราวกับอยู่ในบรรยากาศเมามาย


 


"ผมประหลาดใจ  ทำไมมาถึงบ้านผมวันนี้  ไม่น่าเชื่อว่าน้องหลวงจะมาถึงบ้าน และเป็นวันนี้  วันที่เจ็ด  วันที่ผมไม่มีแผ่นดินจะอยู่"  ผมพูดไปมองสำรวจตัวเขาไปด้วย  ตั้งแต่รู้ข่าวว่าเขาบวชเกือบ 10 ปีมาแล้ว  ผมไม่เคยพบหน้าเขาอีกเลย


 


เขายิ้มสำรวมที่สุด  มองหน้าผมด้วยความสงสัยเช่นกัน


"วันที่เขาจากไป" ผมบอกแล้วชี้ให้ดูภาพเขียนที่เขาทิ้งไว้  ซึ่งยามนี้คิดอยู่บนผนังบ้าน


"อ๋อ" เขาหลับตา  เงียบไปครู่หนึ่ง


 


เขาพูดถึงรอยเท้าสัตว์ในอากาศ  พูดถึงความตายของลูกสาวเศรษฐีในสมัยพุทธกาล  ความเศร้าโศกจองพ่ออันยิ่งใหญ่  ร้องไห้ฟูมฟายกับสิ่งที่จากไป  ร้องไห้กับสิ่งผ่านเลย


"ท่านร้องไห้ให้ตัวเองบ้างเถอะ  เพราะวันหนึ่ง  จะมีคนมานั่งร้องไห้ข้างตัวท่านอีก ท่านร้องไห้ให้ตัวเองเถอะ" 


 


ผมเล่าความจริงของผม  ผมต้องตื่นมาสู้กับนกกลางคืนมาตลอด  ก้อนหินเป็นกองวางเตรียมไว้เพื่อเขวี้ยงนกตัวนั้น  ฝันประหลาดของผมยังตกลงมาจากภูเขาใหญ่  ปีนป่ายลำบาก  เหมือนหล่นลงหลุมไม่มีก้นอีกชั่วอึดใจข้างหน้า


 


เขาพูดถึง  รอยเท้าสัตว์ในอากาศอย่างเป็นจริงเป็นจัง  เมื่อใครคนหนึ่งถามนักบวชว่า  รอยเท้าสัตว์ในอากาศมีจริงมั้ย  นักบวชบอกว่า ไม่มีรอยเท้าสัตว์ในอากาศ  ความสงสัยที่เก็บงำอยู่ในใจคนถาม  แค่เพียงอยากรู้  แต่ไม่เคยมีใครให้คำตอบ


 


คุยกันสารพัดเรื่อง  แล้วผมก็บอกจะให้ฉันเพลที่บ้าน  น้องหลวงบอกฉันมื้อเช้ามื้อเดียวมานานแล้ว  ผมเติมน้ำร้อนในกาชงชา


 



 


เรื่องการเดินทางผ่านในวันคืนนักบวช  เต็มไปด้วยชีวิตชีวา  เผชิญหน้ากับข้าศึกภายในอันหลากหลาย  ผมเล่าถึงบางเรื่องที่ผมข้ามผ่านลำบาก  บางสภาวะที่เกิดขึ้นราวกับความฝัน  อันไม่พ้นเรื่องความเป็นความตาย 


 


ผมเล่าถึงคืนวันอันสาหัส  การออกไปข้างนอกเพื่อจะหนีข้างใน  และการกลับมาสู่โลกภายใน  เพื่อหนีห่างจากโลกภายนอก  ดิ้นทุรนไปท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมในชีวิตจริง


 


เพียงแต่ผมไม่ถามวิธีข้ามผ่าน  วิธีดับทุกข์  และน้องหลวงก็ไม่มีท่าทีล่วงเกินสอนสั่ง เพียงแต่บอกเล่าถึงชะตากรรมสัตว์โลกในแง่มุมต่างๆ  ให้รู้ความจริงในนั้น  ให้รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง 


 


ตลอดวัน  ผมนั่งพูดคุยกับเขา หากใครมองเห็น  คงแปลกใจกับชายสองคน  คนหนึ่งผมเผ้ารกยาวเป็นรังไก่  อีกคนโกนหัวไม่มีแม้หนึ่งเส้นผม  นั่งพูดคุยกันอย่างออกรส  พูดถึงความจริงชีวิต  สัจธรรมในโลก  ผิด ถูก ดี ชั่ว  ผ่านเหตุการณ์จริงที่ต่างคนต่างประสบผ่านมา


 


การเดินทางภายใน ในโลกนักบวช กับโลกโลกียชน  และเลือกเอาวันที่ 7 ธันวาคม  ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อ  และน่าอัศจรรย์ใจ 


 


เขา  WILD  SEED ไวด์  ซี๊ด  เมล็ดป่า เมล็ดเถื่อน  ผู้ขับร้องเพลงที่ตัวเองเขียน  ก่อนเดินทางออกบวช  และยังไม่มีวันที่เขาจะออกเดินมาสู่โลกโลกียะ  เขาค้นพบหัวใจตัวเอง  ปริศนาชีวิตอันเป็นคำตอบ ซึ่งเขาค้นหาความหมายมาตลอด