Skip to main content

งานเขียนค้างปี (2)

เป็นไงครับ  เขียนค้างปีเรื่องแรก  เชยดังว่ามั้ย  มาถึงเชยลำดับที่สอง  ผมตั้งไว้ในใจว่า


เชยโศก  เขียนไว้ค้างปีเช่นกัน  ไม่เคยสอยลงมาจากใต้ชายคาเสียที  ได้แต่มองๆ  เขียนไว้ตอนไหนไม่รู้  หากปล่อยไว้นานกว่านี้  เรื่องทั้งเรื่องน่าจะกลายสภาพเป็นไวน์แน่ๆ   จับมาอ่านอีกทีต้องเมามายเป็นแน่แท้  จบเรื่องเหมือนเรื่องยังไม่จบ  แต่ขอจบลงอย่างนั้นจริงๆ


 


ลองอ่านดูครับ


 



 


เสียงแม่เวลา 5 ทุ่ม


 


ไม่บ่อย  เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในช่วงเวลาเช่นนี้  ผมกระโดดผลุงจากเตียงนอนอย่างกับไฟลนก้น  สายตามองเข็มนาฬิกาบนผนังห้องไปพลาง  5 ทุ่มพอดิบพอดี  เห็นชื่อโชว์เบอร์แล้วใจหายวาบ  น้องชายไม่อยู่แล้ว  เขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ  หากเป็นเสียงของเขาจริงๆ นั่นก็คงเป็นโทรสารจากสวรรค์


 


"แม่เอง" เสียงของแม่พูดคำแรก  ด้วยผมเงียบจดจ่อฟังเสียงว่าใครกันโทรมา  เป็นหลาน-ลูกสาวน้องชาย  หรือใครอื่น  พอรู้ว่าเป็นเสียงแม่  ใจผมกลับหล่นตุ๊บลงบนพื้น  แดดิ้นดังตึกๆๆ อยู่ตรงนั้น


 


"แม่ไม่สบายหรือเปล่า" เสียงผมระล่ำระลัก


"แม่บายดี  แต่แม่นอนไม่หลับมาสองคืนแล้ว  คิดถึงมัน" แม่มักเรียก "มัน" แทนชื่อน้องชาย "แม่คิดถึงน้ำตาไหล"    


 


เรื่องบังเอิญเหลือเชื่อ  อย่างกับมีใครบงการสร้างเรื่องขึ้นมา  ผมกำลังอยู่ในฉากของเกาะลันตา  ผมกับน้องชายยืนมองคนตกน้ำจากเรือข้ามฟาก  มีคนยื่นมือเข้าไปช่วยดึงขึ้นมา


มืดค่ำพอดี  แยกย้ายกันพัก  น้องชายจองเกสต์เฮ้าส์ไว้สามหลัง  เพียงพอให้หลานๆ นับสิบคน กรูกันไปจับจองห้อง 


 



 


รุ่งเช้า  เขาล่วงหน้าไปอยู่ในริ้วคลื่น  โหวกเหวกอยู่กับลูกสาวสองคน  …


ผมเล่าฉากนี้ย้อนไปมา  อย่างกับเรื่องเพิ่งเกิดเมื่อวาน  ทั้งที่เรื่องมันผ่านไปนานเกือบ 3 ปีมาแล้ว                          


เสียงแม่เงียบฟัง  เหมือนอยากให้ผมพูดไปเรื่อยๆ


แม่เล่าหลายครั้ง  คราวนี้ แม่เล่าซ้ำฉากเดิมอีกแล้ว  ว่าน้องชายไม่ยอมกลับบ้านเป็นเดือน  เหมือนไม่คิดถึงกันเลย  ทั้งที่อยู่ห่างกันไม่ไกลกว่า 20 กิโลเมตร  งานนำรถยนต์มือสองมาขายกำลังเติบโตเป็นล่ำเป็นสัน  เขาทุ่มเทให้มันอย่างหามรุ่งหามค่ำ  ไม่อยู่ในเต็นท์รถก็เดินทางเข้ากรุงเทพไปหารถเข้าเต็นท์  หรือไม่ก็เล่นทอยลูกเหล็กกับลูกน้องสี่ห้าคนของเขา                    


 


แพ้ชนะ  แลกด้วยเหล้าหนึ่งแบน  แต่ใครแพ้ก็เห็นมีแต่น้องชายเป็นคนยื่นเงินให้ไปซื้อ


"พูดกับน้องครั้งหลังสุดเมื่อไหร่" แม่พูดเหมือนถาม


"หนึ่งเดือนก่อนน้องไป  น้องบอกว่า เต็นท์กำลังไปได้สวย  ขายรถได้ทุกวัน  กำไรดี  อีกหน่อยพ่อกับแม่ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว  ผมบอกว่า  อยากให้พ่อกับแม่ขึ้นมาอยู่กับผม  น้องก็บอกว่า  น้องดูแลได้  พ่อมีความสุขขึ้น  มานอนค้างที่เต็นท์บ่อยๆ …"  ผมพูดจนเสียงเปลี่ยนเป็นเครือๆ  เสียงแม่สะท้อนกลับมาบอกว่า  สงสัยคลื่นโทรศัพท์ไม่ดี  ฟังไม่ค่อยชัด   ผมรีบบอกแม่ว่า  ไม่เป็นไร  พร้อมกับเล่าเรื่องอื่นต่อไป


 



 


"เขาอยากให้ผมหาที่ดินทางภาคเหนือให้เขาสักแปลง  เป็นเชียงใหม่จะดีมาก  เขาอยากมาอยู่เงียบๆในบั้นปลายชีวิต  ผมหัวเราะ  แหย่น้องเล่นว่าคิดอย่างกับคนแก่  น้องยืนยันจริงๆนะแม่"


"ไม่เห็นมันพูดกับแม่" เสียงแม่สั่นเครือ


"น้องบอกผม  ผมก็เลยบอกว่าพอหาได้บ้าง  แต่น่าจะหาที่เงียบๆ  เลือกที่ไม่แพงเกินไป  หากได้ข่าวเมื่อไหร่จะโทรศัพท์ไปบอก"


เสียงแม่ไอ  ผมถามแม่ว่า  แม่เป็นหวัดหรืออย่างไร 


"เจ็บคอนิดหน่อย  วันนี้แม่ไปถอนหัวมัน  เขาสั่งหัวมัน 50 โล"


"แม่แพ้ฝุ่นอยู่นะ  แม่อย่าทำเลย  ให้น้องสาวไปทำก็ได้นี่"


"ดีกว่าอยู่เปล่าๆ  อยู่นิ่งๆก็อึกอัด  เหนื่อยค่อยหยุดพัก  ได้ออกแรงเหงื่อออกก็ดี"


"เรื่องประกันชีวิตตกลงกันยังไง"  ผมเปลี่ยนเรื่องถามแม่


"เกือบสามแสนบาท เขาเขียนไว้จะให้แม่ด้วย  แต่แม่ไม่เอา ไม่รู้เอาไปทำไร เก็บไว้ทุนเรียนหนังสือของลูกสาวนั่นแหละถูกต้องแล้ว"


 


"พ่อล่ะแม่" ผมถาม


เสียงแม่เงียบไปนาน  ผมรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ


"พ่อมึงกินนอนที่เต็นท์เสียแล้ว"


"กลับมาบ้านบ้างมั้ย"

"ไม่รู้ แกหดหู่ใจเกิน อยากทำอะไรก็ทำ แม่ไม่ว่าอะไร"