Skip to main content

งานเขียนค้างปี(จบ)

นี่ก็เชยอีกเรื่องหนึ่ง ในจำนวนหลายเรื่องค้างปี เรื่องนานมาแล้ว  น่าจะนำเผยแพร่นานแล้ว  แต่ความเชยอยู่กับเรานาน จนแก่ชราภาพ ปักหลักตั้งแค้มป์ไฟนาน  เป็นเรื่องข้ามปีอีกเรื่อง  ที่เก็บไว้จนออกอาการว่าจะมีเชื้อรา  และอาจต้องทิ้ง  หรือไม่ก็นำไปหลอมละลายเป็นปุ๋ยชีวภาพได้บ้าง  ถึงอย่างไร  ผมก็ชอบความรู้สึกตอนนั้น  ไม่ตัดตอนแม้แต่คำเดียว 


ร่วมเดินทางกับความเชยชิ้นสุดท้ายส่งท้ายปีเก่าครับ


 


ไปทุ่งกะมัง                   


 



 


06.00 . 7 มกราคม 2548 เวลารถบัสปรับอากาศชั้น 2 มุ่งสู่ขอนแก่น ออกจากชานชาลาสถานีอาเขตเชียงใหม่   ผมตื่นก่อนหนึ่งชั่วโมง ไก่พลีชีพไปกับแสงเมือง  จึงไม่ได้ยินเสียงไก่ขัน  กลับได้ยินเสียงรถเริ่มตื่นขึ้นสตาร์ทบ้างแล้ว


 


ครั้นพินิจเข็มวินาทียังวิ่งวนหน้าปัดอีกนาน  ยังไงๆ ก็ทันเวลารถน่ะ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก  จากที่นอนแค่ 15 นาทีเอง  ตั้งกาน้ำ ต้มน้ำร้อนชงกาแฟก่อนดีกว่า  ผ้ารีดมั้ย? ไม่ต้องรีดดีกว่า  รีดแล้วเดินเข้าป่า  เดี๋ยวสัตว์ตื่นซะเปล่าๆ 


 


ฟังเพลงของท่านพี่ MARK KNOPFLER ชุด Shangri - La  เสี้ยวจันทร์  แรมไพร มอบไว้ให้ด้วยใจสันทนาก่อนปีใหม่  สักเพลงสองเพลงเรียกกลิ่นอายกาแฟต้อนรับรุ่งสาง  บรรจงเลือกเอาแทร็กที่ 7 everybody  pays  ใส-เศร้า-ซึมลึก-มีแผลและหวานของสายกีตาร์และบ่มพึมพำของเสียงร้อง  ปลุกความรู้สึกเตรียมออกเดินได้ดีเหลือเกิน


 


ผม (ตั้งใจ) ไปร่วมงาน วรรณกรรมสัญจร ครั้งที่ 13 ของชมรมวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  จัดให้มีขึ้น ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว ทุ่งกะมัง จังหวัดชัยภูมิ ระหว่าง 7-9 มกราคม 2548 


 


ผมได้รับเกียรติติดต่อส่งสัญญาณจากพี่ไพฑูรย์ ธัญญา  นักเขียน-อาจารย์ผู้ผลักงานค่ายวรรณกรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคามมานานหลายปี  แม้จะมีถิ่นฐานบ้านเกิดลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาฝั่งเดียวกับบ้านเกิดผม   แต่ไม่เคยเลยที่จะได้พบหน้าตาตัวเป็นๆ กันสักครั้ง 


 


นั่นสิ  เป็นไปได้อย่างไร


 


ลูกเอ้อระเหยของผมนั้น  ยากมีใครเลียนแบบ  หรือมีใครลอกเลียนก็ยากที่จะเหมือน  โดยเฉพาะลูกเฉื่อยเยิ้มยืดอืดอาด(ไม่มีที่ติ)  ยิ่งได้มุดลงไปบรรยากาศของเพลงพี่มาร์ค  นอร์ฟเลอ  ยามนี้  เชื่อเถอะ  โลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ


 


ล้างหน้าล้างตา  แล้วนั่งดุ่ยอยู่กับถ้วยกาแฟ  ทำตัวอย่างกับว่าโลกใบนี้ชีวิตว่างยากไร้งานทำ  เพลินเพลงเพลินใจจนยากที่โรคซึมเศร้าจะแล่นเข้ามาสิงสถิตได้  เหลือบดูเข็มนาฬิกาอีกที  เข็มวินาทีวิ่งตาลปัตร  ดูมันเคลื่อนเร็วจี๋ผิดปกติ


 


05.50 . ผมบึ่งรถอยู่บนท้องถนน  แต่ดูเหมือนว่า  หนทางยังอีกยาวไกล  เจตนาทิ้งรถไว้ที่ปลายทาง   รอให้เพื่อนชีวิตแวะไปเอาตอนสายๆ  พอเจ้าเครื่องญี่ปุ่นแก่ๆวิ่งไปใกล้อาเขตเท่านั้นแหละ  ปรากฏรถบัสคันสีขนมแดงแปร๊ดแล่นออกมาจากอีกเลน  ผมเหลือบเห็นข้างรถเขียนไว้ว่า  เชียงใหม่-ขอนแก่น  ใจก็ชื้นว่า  รถคงแล่นไปเทียบชานชาลา  ผมรีบไปให้ถึงชานชาลาอย่างเร็วที่สุด


 


"รถเพิ่งออกไปเมื่อกี้  ก่อนน้องมาถึงสักห้านาทีนี่แหละ น้องไปลงไหน" ชายวัยกลางคนนั่งขายตั๋วพูดอย่างใจเย็น


"ชุมแพ" ผมรีบตอบด้วยสีหน้าสลด


ผมตกเป็นเหยื่อความอืดอาดยืดยาดอีกแล้ว


 


รถเที่ยวต่อไปออกเวลา 08.00 .  นั่น  ผมจะไปถึงเขตอำเภอคอนสารตอนหกโมงกว่า  และไปถึงชุมแพราวหนึ่งทุ่มกว่าๆ  กว่าจะไปถึงภูเขียวก็น่าจะถึงสองทุ่ม  เส้นทางอีกยาวไกล แต่งานนี้ท่านพี่ MARK KNOPFLER ก็ช่วยไม่ได้


 


ผมสร้างด่านรอคอยไว้ให้คนรออยู่ปลายทางไม่น้อยทีเดียว


 


08.00 . ผมไม่พลาด  รถออกตรงเวลาไม่หย่อนแม้แต่เสี้ยววินาที  มืออาชีพเป็นเช่นนี้เอง  อีกนานนะเอ็ง  จะกลายเป็นมืออาชีพเหมือนเขา  อย่างน้อยด่านแรก  เอ็งต้องข้ามผ่านแรงเฉื่อยเนือยเยิ้มไปก่อน  ผมนั่งพูดกับตัวเอง  เวลาเป็นอกาลิโก แน่ะ ยังเถียงอีก…


 


ผมนั่งคิดถึงงานสารคดีไปตลอดทาง   ว่าต้องเริ่มต้นด้วยการออกเดินไปสัมผัสสืบเสาะเอาชีวิตจริงมาบอกเล่า  บ่อยครั้ง เร็วช้า อืดหนืดทำให้ประสบกับเรื่องที่คาดไม่ถึง  เหลือเชื่อ ทุกอย่างมีค่าและเป็นประโยชน์ในการทำงานทั้งนั้น  หากมองเห็นเนื้อใน และทำความเข้าใจ


 


บางครั้ง  งานสารคดีก็เริ่มต้นด้วยเรื่องฟูมฟาย  และนำไปสู่การรับหน้าสู้ความจริงในที่สุด


นั่งคิดใคร่ครวญถึง"คุณเขียนหนังสือกันอย่างไร" โจทย์ของผู้จัดงานตั้งแบไว้ให้เหล่าวิทยากรนั่งขบเคี้ยว ผมนั่งนึกทบทวนไปมา ก็พบว่า ร้อยแปดคำตอบทั้งแบบเก็บเล็กผสมน้อย และคำตอบแบบยกมาทั้งแท่งตั้งวาง  ล้วนเริ่มต้นจาก "เดินทางไปชะเง้อดูโลก  แล้วนั่งลงเขียน" ทั้งสิ้น


 


ทำอย่างไรให้การเขียนสารคดีเป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ  น่าติดตาม  มีจริงผสมจินตนาการ  มีบ่มมีฟักออกเป็นตัวๆ ออกดอกผลหอมหวานน่ารับประทาน  เหมือนผลของเรื่องสั้น บทกวี  มันต้องมีวิธีปลูกสิ  มันต้องมีเชื้อพันธุ์ที่นำไปสู่ดอกผลที่น่าปลิดมาใส่ปากสิ


 


ความน่าเชื่อถือล่ะ!


 


อย่าถามผมเรื่องนี้เด็ดขาดเลยนะ  สารคดีเรื่องไหนมีคนนำไปอ้างอิงต่อในงานวิชาการได้  ถือว่างานชิ้นนั้นล้มเหลว  คุณต้องยำและบำบัดอย่างไรก็ได้  จนมันไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็น  กระทั่งมันไม่ได้รับความสนใจนำไปอ้างอิง  แต่มันกลับเต็มไปด้วยความจริง  ไม่ปลูกมะละกอแล้วกลับกลายเป็นฝักข้าวโพด


 


อันตรายนะคุณ  พูดเรื่องเช่นนี้ให้เด็กฟัง  เขาไม่เข้าใจผิดกับหลักเกณฑ์ที่เขาเรียนรู้มาเหรอ  ก็นั่นไง  เขาควรจะมีโอกาสเรียนรู้ว่า มีหลายวิธีที่จะนำตัวเลขมาบวกลบให้เหลือเลข 4 นอกเหนือจาก 2+2  โน่น 5-1/3+1/16-12/99-95/10-6 … ถูกต้องมั้ย  จริงมั้ย นี่ยังไม่รวมถึงคูณ หาร  เสียงพูดอยู่ข้างในชักดังขึ้นเรื่อยๆ


 


รถจอดทุกสถานีขนส่งที่มันวิ่งผ่าน  เปลี่ยนหน้าคนลงคนขึ้น  แต่ไม่เปลี่ยนหน้าคนขับกับคนเก็บตั๋ว   ผมจ้องใบหน้าคนขับเขม็งทุกครั้งที่รถจอดเทียบชานชาลา  แล้วแว่บไปเข้าห้องน้ำ  ดูแผงหนังสือพิมพ์  หรือวิ่งไปหาน้ำดื่ม  ห่วงว่าเขาจะทิ้งผมไว้ ณ สถานีใดสถานีหนึ่ง  แม้จะบอกเขาตั้งแต่ต้นทางแล้วว่า  พอรถลงจากอุทยานน้ำหนาวปั๊บ ก็เข้าเขตอำเภอคอนสาร พอถึงทางแยกให้บอกผมด้วย 


 


ผมไม่ได้ผ่านเส้นทางนี้นานหลายปี


คนขับขอมีส่วนร่วมกับการเดินทางของผมด้วย  จึงถามกลับมาว่า จะไปไหน


ไปภูเขียว


มืดค่ำนะ  เดี๋ยวไม่มีรถไปต่อนะ  ไปลงที่ชุมแพดีมั้ย  เขามีความเห็นที่แน่ใจว่าดีกว่า แน่นอนกว่า


มีคนมารับผมครับ  แต่พี่อย่าลืมว่าต้องจอดตรงป้อมตำรวจนะ  ผมพูดคำว่าป้อมตำรวจไม่น่าจะต่ำกว่า 5 ครั้ง (ตลอดเส้นทาง)


 


สถานีขนส่งลำพูน ลำปาง มีคนขึ้นมาเยอะ  แต่ไม่มีกล้าเลือกที่นั่งใกล้ผม  คงเห็นสารรูปผมเผ้าที่ดูอยู่ห่างไว้ก่อนน่าจะดี  พอถึงตากจะแยกเข้าสุโขทัยโน่น  มีเด็กหนุ่มมานั่งด้วย  เขาบอกว่า  เขาลงหล่มสัก  เราถามไถ่กันพอสมควร  เขาสังเกตสำเนียงพูดผมได้  ว่าผมไม่ใช่คนแถวนี้  พี่เป็นคนใต้ใช่มั้ย  ใช่ ผมตอบ  เขาเล่าต่ออีกว่า  ตอนเรียนอยู่เขามีเพื่อนที่เป็นคนใต้แบบเฮ้วๆ ชวนตีต่อยอยู่หลายคน  ผมบอกว่าที่ไหนๆก็มีเรื่องชกต่อยแหละ  เขาไม่ถามผมว่าไปทำอะไร แต่ผมบอกปลายทางให้เขารู้  เขาอธิบายเส้นทางจนสู่ภูเขียวจนละเอียดยิบ  เขาแนะนำอาชีพของเขาว่า  เขาอยู่ในหน่วยเฝ้าคอยระวังเชื้อไข้หวัดนก  ต้องออกไปฉีดยาฆ่าเชื้อ  ให้ความรู้กับชาวบ้าน  ทำลายไก่ที่แน่ใจว่าเป็นพาหะนำโรค   


 


รถแล่นผ่านแผ่นดินสุโขทัย  โอ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ได้ผ่านอดีตราชธานี  จากนั้นก็ผ่านเมืองพิษณุโลก  คิดถึงอาจารย์สมบัติ เครือทอง อย่างจับใจ  ผู้มีคุณูปการเหลือเกินต่อชีวิตงานเขียนในวันนี้  จากนั้นรถก็แล่นเข้าเขตภูเขาอีกครั้ง


 


ก่อนถึงหล่มสัก   รถแล่นฝ่าดงยอดเขาแล้งๆโล้นๆ  บางช่วงเหมือนภูเขาหัวหงอก ผมเห็นภาพของเด็กหนุ่ม 4 คน โน่น ปี พ.2528 โบกรถผ่านดินแดนอีสาน  ไปหยุดลงอยู่แถวนี้  เตรียมโบกรถต่อเข้าเมืองพิษณุโลก  จำได้ว่ารถอีแต๋นรับคนงานตัดอ้อยวิ่งผ่านมา  จอดรับไปด้วย แต่ไปได้เพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น  ต้องรอโบกรถต่อ  ณ นาทีนั้นเอง  ทุกคนมองไปเห็นป้ายข้างทาง เขียนเอาไว้ให้ชวนสะอึก "ยินดีต้อนรับสู่ไร่ท้อแท้"  จริงๆ ทุกคนเงียบกริบ  และต้องโบกรถเพื่อหนีอารมณ์ท้อแท้อยู่นานถึง 3 ชั่วโมง   


 


ถึงสถานีขนส่งหล่มสัก  เราบอกลากัน  เขาบอกให้ผมโชคดี


ผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ  วางกระเป๋าไว้บนเบาะนั่งริมหน้าต่าง พอขึ้นมาอีกครั้ง  มันถูกเหวี่ยงไปวางไว้อีกที่  มีคนใหม่เข้าไปนั่งแทน  เป็นหญิงสาวผิวคล้ำ ดูแก่เกินวัย ใบหน้าไม่สู้ดีนัก  ออกจะโศกปนกรุ่นทุกข์ร้อนอยู่ภายใน


 


ผมไม่ขอที่นั่งคืน 


เขาคงพบพื้นที่ซึ่งน่าระบายคลายโศกออกไปได้บ้างกระมัง


พอรถผ่านศาลสถานแห่งหนึ่ง  เขาพนมมือไหว้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง และดูคุ้นเคยกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์  ดูเขาอ่อนโยนกับบางอย่างที่สัมผัสได้ด้วยจิตใจ 


 


ผมนึกอยากจะเล่าเรื่องการเดินทางข้ามวัน  ให้ชาวค่ายวรรณกรรมที่สนใจสารคดีได้รับรู้แง่มุมชีวิตบางอย่าง  แต่ไม่มีจังหวะเล่า  เพราะผมมัวแต่อืดยืดยาวอยู่กับเรื่องราวอื่น  ที่ดูเหมือนไม่ใช่หลักวิชาที่ว่าด้วยการเขียนสารคดี 


 


บางทีการเขียนสารคดีก็มักเป็นเช่นนี้   คือไม่อาจเล่าเรื่องได้ทั้งหมด  หรือหลงลืม หรือมัวพลิ้วไปขุ่นๆกับเรื่องอื่นมากเกินไป  เมื่อไม่มีโอกาสเล่า  ผมก็เลยหยิบเอามาเขียนให้อ่านแบบไม่เอาจริงเอาจัง  อ่านเล่นๆหลังเมื่อยล้ากับงานหนัก  หรืออยู่ในเทศกาลเฝ้าระวังหาเสียงของนักการเมืองนานเกินไป  ..