Skip to main content

กลับไปเยือนมหานครเหนือจริง (1)

นานที่ได้ลงไปกรุงเทพมหานคร ไปทุกทีก็มีเรื่องอันน่าประหลาดใจทุกครั้ง ต่างจากครั้งก่อนๆก็ตรงที่ผมพกลูกชายวัย 6 ขวบไปด้วย

สัพเพเหระเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่วันต่อวัน สายถนนต่อสายถนน และคราคร่ำผู้คน ดูราวกับเมืองอพยพหลบภัย เหมือนทุกคนอยู่กันอย่างปลอดภัยดี ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน แข็งแรง อุดมสมบูรณ์พูนสุข และมีความสุข


มองซ้ายขวาหน้าหลัง ดูทุกคนจะพอใจกับชีวิตหว่านความสุข อมทุกข์ ดิ้นรน แดดิ้นทุราย เหงาๆ เปลี่ยวๆ ตัวใครก็ของใคร ระวังระไวเอาไว้ให้ดี ไปตามทางใครก็ของใคร ระวังระไวบนทางเอาไว้ดีๆ


พูดคนเดียว ยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว นั่งคนเดียว …



เรา ผมกับลูกชาย แบกเป้คนใบ พร้อมของฝากหนักๆอีกหนึ่งลังกระดาษ ก็เพียงพอเก้ๆกังๆลงจากขบวนรถไฟ สถานีรถไฟดอนเมืองรถไฟจอดไม่นาน ช่วงเวลานาทีดูราวกับกำลังลงจากยานไปสู่โลกดาวดวงอื่น


เสียงอึกทึกจู่โจมโครมครามเข้ามาทันที ลูกชายหลบมายืนแนบชิดตัวพ่อ เขาลังเลว่าจะไปยังไงดี ผมมีหมุดหมายปลายทางอยู่เพียงชื่อในแผ่นกระดาษ หมู่บ้านแห่งหนึ่งเขตมีนบุรี เหนือใต้ตกออกเปลี่ยนทิศทันทีที่ผมเข้าไปนั่งอยู่ในแท็กซี่


ทุกอย่างหนุนเนื่องไปสู่ไม่รู้เหนือรู้ใต้


'เรื่องหลงทางไม่ต้องห่วง ผมบอกตัวเองในเชิงอภิปรัชญา ก็เราอยู่รอดมาได้ด้วยการหลงทางไม่ใช่หรือ จะกังวลไปกับเรื่องถูกทางได้อย่างไร ไปทางไหนก็เต็มไปด้วยหนทางอยู่แล้ว หลงทางหรือไม่หลงทาง เราก็ยังต้องอาศัยแท็กซี่มิเตอร์' ผมพูดกับตัวเองสลับกับฟังเสียงเอี๊ยดๆแอ๊ดๆด้านหน้ารถ


แท็กซี่มิเตอร์คันนี้เก่าเอามากๆ แต่คนขับดูล่ำแข็งแรงมาก หุ่นนักกีฬา วัย 50 กว่าๆ หนุ่มวัยเกินวัย พูดจาฉะฉานเสียงดัง


กรุงเทพให้ข้อมูลผมเรื่องดินฟ้าผ่านคนขับแท็กซี่ ว่าฝนตกหนักมาสองคืนแล้ว เขายังเล่าความทรงจำลมฝนพัดแผ่นป้ายโฆษณาใหญ่ยักษ์ หล่นลงต่อหน้าต่อตา


สามสิบปีอาชีพขับแท็กซี่ไม่น้อยเลย เหมือนเขาอยากให้ผมมั่นใจว่า เขาหลับตาเห็นทุกตรอกทุกซอย ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปอีกว่ามีซอยอยู่หลังห้างคาฟูมีนบุรี ไปสู่หมู่บ้านร่มทิพย์



เหนือใต้ตกออกถูกลบทิ้งไปจากหัวผมอย่างสิ้นเชิง แม้จะเชื่อว่าดวงอาทิตย์ยังอยู่ทางทิศตะวันออก แต่มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร จิตนาการไปไม่ได้ว่าถนนสายไหนต่อโยงไปถึงสายไหน และสถานที่ตรงนั้นชื่ออะไร


แม้จะอ่านชื่อผ่านหน้าผ่านตา มันก็ไม่ได้มีความหมายต่อชีวิตและจิตใจ ทางผ่านเป็นเช่นนี้จริงๆ ต่อให้อ่านชื่อเป็นร้อยครั้งพันครั้ง มันก็แค่ชื่อสำหรับให้สักแต่ท่อง มันไม่ลงไปตรึงถึงใจจำ แล้วผู้คนเป็นจำนวนมากมายเหล่านั้นล่ะ


เราคงไม่มีโอกาสหมุนรอบวงชีวิตมาทับเส้นพบหน้าหากันเป็นแน่แท้


ชีวิตเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ อีกมากมายเหลือเกินที่เราไม่อาจเข้าไปล่วงรู้ใดๆได้เลย และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องบ่ายหน้าเข้าไปรับรู้


คนขับแท็กซี่ชวนพูดเรื่องฟุตบอล เขาเป็นนักฟุตบอลเก่า มีเพื่อนที่เคยชนไหล่เป็นถึงอดีตนักฟุตบอลอาชีพทีมชาติหลายคน พอเขาเอ่ยชื่อผมก็ อ๋อ ตามไปด้วย เขาออกล่าถ้วยแห่งชัยชนะมานับครั้งไม่ถ้วน


แต่สุดท้ายมาลงเอยที่รถแท็กซี่


"นักฟุตบอลรุ่นเก่าไปถามได้เลย ลงซ้อมทุกครั้ง วิ่งรอบสนามฟุตบอล 40 รอบก่อน ฝึกหนักมาก แรงจะได้อยู่กับเราตลอดการแข่งขัน" เขาพูดโยงไปถึงนักเตะฟุตบอลรุ่นใหม่ ว่าซ้อมกันน้อย เล่นไม่เท่าไหร่แรงหมดแล้ว



เขาบอก เขาคนเมืองเก่าอยุธยา มาหากินอยู่กรุงเทพด้วยการขับแท็กซี่ นานๆจะได้กลับอยุธยาสักครั้ง


เขาพูดถึงนักฟุตบอลตามชานเมืองมหานคร พูดถึงทีมต่างๆที่อยู่ในความดูแลของโค้ชคนรุ่นเขา ว่าเก่งทั้งนั้น ใครจะมาแข่งด้วยต้องสะบัดหัว "เล่นยาก กินยาก"


เขาคงดูหน้าผมแล้วมีคำถามในใจอยู่นาน รอให้คุ้นเคยสักหน่อยจึงปล่อยคำถามออกมา "ดูหน้าน้องไม่ใช่คนเหนือ"


"ทำไมถึงรู้" ผมถาม เขาหัวเราะ


"ใช่ ผมเป็นคนใต้ไปอยู่เหนือ"


"บ้านเดิมอยู่จังหวัดอะไร"


"พัทลุง" ..


"ผมมีเพื่อนเป็นคนใต้เยอะ สารวัตร … ก็เป็นคนจังหวัดเดียวกับน้อง รู้จักมั้ย"


เขาบอกชื่อ ประจำสถานีตำรวจเสร็จสรรพ


"มาทำอะไร" เขาถาม


"หลานแต่งงาน" ผมตอบ แล้วถามถึงถนนเส้นนั้นเส้นนี้ที่ต่อโยงออกไป ถามทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ในเรื่องใดได้บ้าง