Skip to main content

กลับไปเยือนมหานครเหนือจริง (7) ขบวนรถไฟสายไม่รู้หัวรู้หาง

ลุงเสี้ยวมีเมนูพิเศษมานำเสนอ ด้วยอำนวยการสร้างเรื่องงุนงงเพลิดเพลินบันเทิงใจให้หลานเกิดความประทับใจ ประมาณเมนูต้อนรับปิดเทอมครั้งหนึ่งในชีวิต จึงนัดวันเวลาอย่างชนิดไม่ให้พลาดเศษเสี้ยวนาที สู่จุดเริ่มต้นอันคึกคัก ยอยักษ์เขี้ยวใหญ่ รอลิงไต่ราว ชวนพ่อลูกไต่กระไดลิง แบบตกกระไดไปกะกระโจน ตื่นตาตื่นใจ อย่างชนิดไม่รู้ว่าจะลงเอยกันสถานีไหน

เรา พ่อลูกพกพาความเชยมาเต็มที่ พร้อมปล่อยลูกเซ่อๆ ฮาๆ ได้ทุกเมื่อ



เป็นครั้งแรกกระมัง ที่เราเดินทางซอยเท้าตามจังหวะก้าวสม่ำเสมออย่างไม่ให้ตกหล่น มัวช้าโดนเหยียบส้นเท้า ไปเร็วเกินก็ชนคนอื่น เงอะๆ เง้อๆ เงยๆ ก็กีดขวางทางเท้าจราจร

จังหวะเดินที่แน่นอน นั่น นั่น ต้องอย่างนั้น ซอยเท้าไว้ลูก ซอยเท้าไปด้วยกัน
ไปกันเลย ไป …
เริ่มต้นด้วยความเร็วรถไฟใต้ดิน เรื่องสุดเอ็กโซติกของสองพ่อลูก และสุดแสนตามน้ำในบรรยากาศโซตัส กล้าๆ กลัวๆ งงๆ มึนๆ นั่นแหละถูกต้อง ชำเลืองดูเส้นทางสถานี แล้วรับเหรียญพลาสติกอิเล็กทรอนิกส์ ที่ลุงเสี้ยวบอกว่าเป็นเหรียญรหัสลับทะลวงจักรวาล


เดินตามหลังต่อท้ายคนอื่น คอยจังหวะ ให้เหรียญมหัศจรรย์แตะเจ้าตู้ทื่อๆ ก็รีบกระโจนเข้าไปเลยนะ ฮื่อ.. แต่งง งงมาก สองพ่อลูกเหมือนโดนกระชากลากถูไปข้างใน ท่ามกลางเสียงตวาดไล่ของหมู่พวกรุ่นพี่ มุ่งสู่การยืนรอรถไฟ

ตำแหน่งขึ้นรถไฟใต้ดินก็สำคัญ ข้องเกี่ยวกับการพาตัวไปเบียดเสียด ลดการปะทะลัดคิวขึ้นขบวนก่อนหลัง ไปตามลูกศรชี้ แล้วรอเวลาข้ามผ่านลูกศรเข้าไปในขบวน

หัวรถไฟเหมือนตัวด้วงอ้วนๆ มีชีวิตอยู่ในที่ร่ม ขาดแดด ตัวมันๆ ขาวๆ กลมๆ พร้อมจะเปิดสีข้างให้ทุกคนเดินเข้าไป ท้องไส้เป็นเก้าอี้ มีเก้าอี้ว่าง นั่งกันเงียบๆ เรากำลังไปทัศนาดินแดนอันไม่รู้จบ เงียบๆไว้ อย่าพูดเสียงดัง ทุกคนนัดหมายกันไม่ส่งเสียงหรือเปล่า เสียงรถไฟเป็นเสียงหลอนๆ ของอนาคตกาล ราวกับอีกสถานีเดียวก็จะถึงเมืองสวรรค์


เตรียมตัวลงจากขบวน


ลูกชายนั่งนิ่ง เงียบ มองหน้าคนตรงข้าม มองหน้าใครต่อใครไปเรื่อย ใบหน้ามีอารมณ์เดียว อารมณ์ในลู่วิ่ง 100 เมตร ไม่มีใครอยากมองหน้าและอยากเข้าใกล้คู่ต่อสู้ การแข่งขันเที่ยวนี้มีราคาแพง

โปรดรักษาระยะห่างจากคนในลู่วิ่งไว้พองาม


เสียงกรรมการเตือนเป็นระยะ เราผ่าน 20 เมตรมาแล้วนะ ผ่าน 50 เมตร จะเข้าใกล้ระยะ 70 เมตร อีกไม่นานจะถึงเส้นชัย เตรียมตัวไว้ดีๆ เรามีเวลาวิ่งไม่มาก
เตรียมตัวลง
รักษาความเร็วก้าวให้สม่ำเสมอ จำเอาไว้เอ้อระเหยเมื่อไหร่เกะกะทางเท้าจราจร


ก่อนออกมาจากใต้ดิน สองพ่อลูกก็โดนกระชากถีบส่งออกไปข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง ต่อไปก็ได้เวลาขึ้นมาจากใต้ดิน ยืนรับฟังเสียงแห่งอนาคตกาล เสียงสะเทือนสะท้านยานยนต์จากท้องถนน ต่อเนื่องไม่มีช่องว่างความเงียบ



ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส (เขียนถูกมั้ยนี่) ทำเป็นเล่นไป รถไฟมหานครบนดินก็ใช่ย่อย คราวนี้มีการ์ดบางๆ บรรจุข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์เช่นกัน สองพ่อลูกโดนต้อนตะเพิดเข้าไปยังจุดขึ้นลง เพียงยัดเจ้าการ์ดใส่ปากเจ้าตู้หุ่นบึ้ง แล้วยืนรอคิวตามน้ำ—ตามเท้าเช่นเคย

คนสัญจรแน่นมาก ปลากระป๋องยัดอัดแน่นดีๆ นี่เอง ใช่แล้ว เวลาเร่งด่วน และอาหารจานด่วน รวมทั้งเวลาด่วนได้ด่วนเสีย ไม่ใช่นาทีทีเล่นทีจริง อ๊ะอ๋า ..ขบวนนี้ไม่เลว บรรยากาศเป็นกันเองขึ้นมานิดหนึ่ง มียิ้มมีพูดจากันบ้าง แต่ดูเป็นกลุ่มๆเหมือนตาลขโมย


"สถานีหน้าคือสยาม" สิ้นเสียงลึกลับ หวานเย็นมาจากโลกสงัดเงียบ ต่างคนต่างเดินเกาะราวอากาศ เดินไล่เรียงกันไป



โอ้หลั่นล้า ถึงแล้ว หื๋อ ..โห๋.. สยามโพรากอน ศูนย์การม้า วัว ช้าง เสือ กระต่ายบิน หนูแคระ หมูตุ้ย เงือกเดียวดาย กระสูบปราดเปรียว ช่อนซุ่มงุบเหยื่อ .. สองพ่อลูกเดินตัวลีบเล็กคับติ้วเป็นก้านไม้ขีดไฟ


ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย กับการเดินทางไกลมาถึงสถานแห่งนี้


ขึ้นกระไดพร้อมกระโจนมาแล้ว ยังไงก็ต้องไปให้สุดกระได จะได้รู้ว่าการกระโจนมีความหมายอย่างไร ตอนหน้าสองพ่อลูกแย่งปล่อยลูกฮาพาเซ่อ ขำกลิ้ง และจ๋อยสีหน้าเปลี่ยนไปได้อย่างไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกัปตันเรือโจรสลัด พาท่องห้องลับที่บรรจุด้วยสมบัติหีบเหล็ก เครื่องมือออกทะเลเก่าๆ ขาดๆ กองสุมรวมกันอยู่ราวกับซากเปลือกหอย รอเวลาชุบตัวให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง