หลวงพี่ สุพจน์
คอลัมน์/ชุมชน
วันที่ ๑๗ กรกฎาคม เป็นวันครบรอบ ๑ เดือนแห่งการมรณภาพของพระสุพจน์ สุวโจ พระเล็ก ๆ ในสวนเมตตาธรรม อำเภอฝาง เชียงใหม่ หากพูดภาษาบ้าน ๆ หน่อยก็ต้องบอกว่า ๑ เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่กระบวนการค้นหาต้นสายปลายเหตุของการสังหารหลวงพี่สุพจน์ กลับเชื่องช้าอย่างไม่น่าเชื่อ ... ปมแห่งการมรณภาพ ยังกระจัดกระจาย ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความขัดแย้งระหว่างผืนป่าสาธารณะ กับนายทุนสวนส้มสายพันธุ์ติด สติกเกอร์ เมื่อ ๙ ปีที่แล้ว ไวเหมือนโกหกอีกเช่นกัน ผมกับหลวงพี่สุพจน์ เคยเป็นศิษย์อยู่ร่วมวัดธารนํ้าไหล หรือสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา สุราษฎร์ธานี เมื่อช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๓๙ ขณะนั้นหลวงพี่สุพจน์ เป็นพระรุ่นพี่ บวชมาแล้ว ๔ พรรษา มีหน้าที่ดูแลห้องสมุดธรรมะของวัด ส่วนผมเป็นพระใหม่ ไปใช้บริการห้องสมุด อยู่แทบทุกวัน ช่วงผมเป็นพระ ได้บันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ในรูปของจดหมายน้อย ส่งไปให้ญาติโยมและมิตรสหายที่นับถือได้อ่าน หนึ่งในผู้รับจดหมาย รายเดือน จากพระใหม่อย่างผมก็คือ โยมยาย ที่อยู่ที่บางกอก ด้วยความที่ลายมือของผมอ่านยาก เห็นใจโยมยายที่ต้องมาทุกขเวทนากับการแกะลายมือของผม ผมก็เลยใช้วิธีพิมพ์จดหมายด้วยคอมพิวเตอร์ ที่หลวงพี่สุพจน์ดูแลอยู่ในห้องสมุด เครื่องคอมฯ ที่ว่า ก็เป็นพีซีธรรมดานี่แหละครับ เข้าใจว่าเป็นเครื่องที่มีผู้บริจาค คุณภาพก็ตามมีตามเกิด เพราะสวนโมกข์มีฝนตกชุก ความชื้นสูง ไม่ถูกโรคกับคอมฯ แต่ก็อาศัยหลวงพี่สุพจน์คอยทำนุบำรุงอย่างสุดฝีมือ จนทำให้ผมสามารถใช้คอมฯ พิมพ์จดหมายขนาดยาว ๆ ถึงโยมคุณยายได้ทุกเดือนอย่างสบายอกสบายใจ โยมยายยังเก็บงำมาจดหมายทั้งหมดไว้จนถึงทุกวันนี้... อีก วีรกรรม หนึ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากหลวงพี่สุพจน์ก็คือว่า ในช่วงพรรษานั้น หลวงพี่รูปหนึ่ง มีอาการปวดหลังเนื่องมาจากกระดูกทับเส้นประสาท (หรืออะไรทำนองนั้น) หมอที่โรงพยาบาลไชยา มีข้อเสนอว่า หากปวดหนัก ๆ ตอนดึกในกุฏิ มาหาหมอไม่ทัน ก็หาใครในวัดช่วยฉีดยาแก้ปวดให้ก็ได้ หมอจะเตรียมยาฉีดเอาไว้ให้ หลวงพี่ท่านนั้นมาปรึกษาผมว่า หากเจ็บหลังขึ้นมากลางดึกจริง ๆ ก็จะวานหลวงพี่สุพจน์นี่แหละ ช่วยฉีดยาให้ เพราะแม้ว่าหลวงพี่สุพจน์ จะไม่ใช่หมอรักษาคน แต่ท่านก็จบมาจากคณะสัตวแพทย์ น่าจะพอกล้อมแกล้มฉีดยาให้คนได้ยามฉุกเฉินอยู่ดอกน่า หลังจากเอาประเด็นนี้ไปปรึกษาหลวงพี่สุพจน์ ท่านก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ด้วยรอยยิ้มจริงใจบนใบหน้าที่ใคร ๆ คุ้นเคย ก็ท่านเรียนรักษาสัตว์มานะครับ ไม่ใช่รักษาคน แต่ละคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ ทำในสิ่งที่ทำได้ เว้นในสิ่งที่พึงเว้น สุดท้ายหลวงพี่รูปที่เจ็บหลัง ก็หาทางออกทางอื่น คือ คอยระวังเรื่องพฤติกรรมตัวเองที่จะกระเทือนแผ่นหลัง ไปพบแพทย์ตามนัด ฯลฯ อาการปวดหลังก็ค่อย ๆ คลี่คลายด้วยมือแพทย์ตัวจริงเสียงจริง สิ้นพรรษาปี ๒๕๓๙ ผมสึกออกมาเป็นทิด หลวงพี่สุพจน์อยู่ทำหน้าที่ของท่านที่สวนโมกขฯ จากนั้นย้ายไปที่สวนเมตตาธรรม อำเภอฝาง จนกระทั่งมรณภาพเมื่อ ๑๗ กรกฎาคมที่ผ่านมา สิริรวม ๑๓ พรรษา ๓๙ ปี เท่าที่ผมติดตามข่าวสารเกี่ยวกับคดีนี้ ผมมีความเห็นว่าคดีมันคืบหน้าไปค่อนข้างช้ามาก ส่วนหนึ่งคนที่เกี่ยวข้องคงเห็นว่า ท่านเป็นพระเล็ก ๆ ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งก็มีส่วนถูก เพราะหลวงพี่สุพจน์เป็นพระที่ปิดทองหลังพระมาตลอด เลยอาจทำให้ผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินคดีทำงานช้ากันหมด อีกส่วนหนึ่งผมเห็นว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย กำลังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ผู้ว่าฯ ซีอีโอ นวตกรรมที่ ท่านผู้นำ ภูมิใจปั้นขึ้นมากับมือ มาถึงนาทีนี้ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ราวกับว่าอำนาจอาจมีเอาไว้ใช้กับบางกรณี และอาจละเอาไว้ในบางกรณี ฝ่ายปกครอง ตำรวจ กระทรวงยุติธรรม ป่าไม้ ก็มีท่าทีไม่ไปไม่มา เหมือนเกรงอกเกรงใจอะไรสักอย่าง นายทุนที่อยู่เบื้องหลัง หากมีอยู่จริง ท่านแน่ใจหรือว่าการทำร้ายคนอื่นเช่นนี้ เป็นการทำหน้าที่ที่มนุษย์พึงกระทำต่อมนุษย์ ส่วนรัฐบาลได้ส่งสัญญาณผิด ๆ เกี่ยวกับ การพัฒนา หรือไม่ ท่านผู้นำกำลังมุ่งทำหน้าที่เพื่อให้คนรุ่มรวยในวัตถุ มากกว่า สุขกาย สบายใจ แบบไม่เบียดเบียนตนเอง และธรรมชาติหรือไม่ สื่อมวลชนบางส่วน ก็นำเสนอข่าวและความเห็นกันฟุ้ง จนไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่เสนอมานั้นผ่านการตรวจสอบความถูกต้องอย่างถี่ถ้วนแล้วหรือไม่ หรือว่ายินดีกับการปล่อยให้คนใหญ่คนโตบางคนได้พูดใส่ร้ายป้ายสีพระไปต่าง ๆ นานา (เหมือนที่คนโตบางคนเคยบอกว่า ทนายสมชาย หลบหน้าไปชั่วคราว เพราะทะเลาะกับเมีย ) สื่อมวลชนเคย ลงเดิน ไปดูไหมว่า หลวงพี่สุพจน์ท่านกินอยู่อย่างง่ายเพียงใด อยู่เบื้องหลังการผลิต สื่อเย็น เพื่อเผยแผ่พระศาสนามามากน้อยอย่างไร คิดแล้วน่าขนลุกนะครับว่า อะไร คือ เหตุ ที่ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเอง พระสุพจน์ ทำหน้าที่ของท่านจนวาระสุดท้าย คือการพัฒนาเว็บไซต์จิตวิวัฒน์ ว่ากันว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ยังเปิดค้างอยู่ มีคู่มือการทำเว็บวางอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่ท่านจะจากไป... |