Skip to main content

ฮอยอันฉัน (ก็) รักเธอ

คอลัมน์/ชุมชน

ผมไปเป็น ‘ ทัวริสต์’ ท่องฮานอย เว้ ดานัง และฮอยอัน ของเวียตนามมาเมื่อเดือนก่อนครับ


แต่ก่อนที่จะพูดถึงประเด็น ‘ ฮอยอันฉัน (ก็) รักเธอ’ ดังที่จั่วหัวไว้ ขอพูดถึงความประทับใจที่มีต่อคนเวียตนามก่อนสักเล็กน้อย


เชื่อแน่ว่า ใครที่ไปประเทศนี้ คงจะต้องอึ้งใน ความขยันขันแข็ง และความประหยัดของคนเวียตนาม


กล่าวกันว่า ชาวเวียตนามกว่า ๘๓ ล้านคนมีบุคลิกเช่นนี้ ก็เพราะประวัติศาสตร์ที่ต้องร่วมกันกู้ชาติจากจีน ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ สิริรวมแล้วใช้เวลาการต่อสู้ราว ๒ พันปี


ทุกวันนี้ ชาวไร่ชาวนาเขาอยู่ในท้องทุ่งตั้งแต่เช้ายันมืด พื้นที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามขอบทาง หรือริมตลิ่งตรงไหนที่พอจะเพาะปลูกได้ คุณพี่เขาลงมือปลูกไม่มีเว้นให้


ส่วนคนในเมืองก็ทำงานกันจ้าละหวั่น มีจักรยานสองล้อคันเดียวก็รับจ้างขนของได้ เสาไม้ยาวสามสี่เมตร ใช้จักรยานคนจนนี่แหละครับปั่นไปส่ง ราวกับเล่นกายกรรมให้ชมกันสด ๆ


คนเฒ่าคนแก่ เอากระติกนํ้าร้อนหนึ่งใบ จอกเล็ก ๆ หนึ่งใบ เก้าอี้นั่งหนึ่งตัว บุหรี่ครึ่งซอง ลูกอมอีกสามเม็ด แค่นี้ก็เปิดเป็น ‘ ร้านนํ้าชา’ บนทางเท้า หนุ่มสาวมานั่งจิบชา ดูดยาแก้เมื่อยกันทั่วไป


สำหรับเรื่องความประหยัดก็หนักแน่นมากครับ ร้านอาหารทั่วไป หานํ้าแข็งเป็นก้อนสวยงามไม่ได้หรอกครับ ส่วนมากเป็นก้อนใหญ่ ๆ เอาขวานจาม แล้วเอามาใส่แก้วเพียงก้อนสองก้อนผสมนํ้าให้เราดื่ม พอกล้อมแกล้มให้ได้รู้สึกถึงความเย็นเล็ก ๆ ประเภทเย็นเจี๊ยบจนแก้วเป็นไอนั้น หาไม่ค่อยได้หรอกนะครับ


มีวันหนึ่งขณะผมกำลังนั่งเรือล่องแม่นํ้าที่เว้ มีคนเวียตนามลงมาในเรือเพื่อเอาแผ่นปลิวโฆษณาเกี่ยวกับบริการด้านการนำเที่ยวมาแจกให้ผู้โดยสาร ผมก็รับแผ่นปลิวไว้เพื่อรักษานํ้าใจผู้แจก โชคดีที่ไม่ได้ขยำทิ้งตามนิสัยเหมือนตอนอยู่เมืองไทย เพราะอีกราว ๆ ๑๕ นาทีต่อมา คนเวียตนามคนนั้นมาขอแผ่นปลิวคืนจากทุกคนบนเรือ จะอะไรเสียละครับ หากไม่ใช่นำกลับไปใช้ใหม่ เพียงแค่อาจจะยับไปหน่อย แต่ก็ยังอ่านข้อความได้ชัดแจ๋ว


ส่วนตามโรงแรม (อันนี้หมายถึงโรงแรมทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่โรงแรมสี่ห้าดาวนะครับ) เรื่องนํ้าเรื่องไฟก็ประหยัดจริง ๆ เครื่องปรับอากาศเครื่องเล็กนิดเดียว ได้ความเย็นแบบ ‘ ชิว ชิว’ นอนหลับได้โดยไม่อ้าวหรือเย็นจนเกินไป


คนเวียตนามไปไหนมาไหนด้วยการเดิน หรือรถเมล์สาธารณะ หากมีตังค์หน่อยก็ใช้จักรยาน หรือมอเตอร์ไซค์ ว่ากันว่าทั้งประเทศมีรถเครื่องเกือบ ๑๐ ล้านคัน ซุ้มปะยาง และซุ้มขายเบนซินเป็นขวด ๆ จึงมีอยู่ทั่ว


และแน่นอนครับ มอเตอร์ไซค์เหล่านั้นก็มีทั้งซ้อนสอง ซ้อนสาม หรือซ้อนสี่ หมวกกันน๊อกก็ไม่ใส่ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่ก็แปลกดีเหมือนกันที่ ‘ วิถี’ ผลักให้คนเวียตนามลงทุนกับโทรศัพท์มือถือกันสนั่นเมือง มากกว่าหมวกกันน๊อก (ฮา)


สำหรับเรื่องสื่อมวลชนนั้น ผมต้องประหลาดใจตัวเองเหมือนกันว่า แผงขายหนังสือพิมพ์เขามีอยู่แทบจะทั่วไป กะ ๆ ด้วยสายตา อาจจะมากกว่าบางหัวเมืองในไทยด้วยซํ้า


หนังสือหนังหาตำรับตำรา ก็มีแต่ตัวอักษร หาภาพประกอบได้ยาก บางส่วนก็แปลมาจากตำราต่างชาติ เทคโนโลยีการพิมพ์ก็ยังล้าหลังเราอยู่มาก แต่คนเขาก็เข้าร้านหนังสือกันเอาจริงเอาจังไม่น้อยทีเดียว ( อัตราการอ่านออกเขียนได้ของคนเวียตนามคือร้อยละ ๙๔)


นอกจากแปลหนังสือแล้ว บางกรณีมีการ ‘ โคลนนิ่ง’ หนังสือต่างประเทศด้วย เช่น หนังสือนำเที่ยว Lonely Planet ที่เล่มหนึ่งตกเป็นพันบาท แต่พี่เขาเอาไปโคลนนิ่งตั้งแต่ปกหน้ายันปกหลัง แล้วเอามาวางขาย ถูกกว่าของแท้ ๒-๓ เท่าตัวเลยทีเดียว


ส่วนหนังสือพิมพ์ เนื่องจากเวียตนามถูกบริหารด้วยรัฐบาลพรรคคอมฯ พรรคเดียว เนื้อหาส่วนใหญ่จึงมีแต่ ‘ ข่าวดี’ เป็นข่าวของ ‘ ท่านผู้นำ’ และข่าว ‘ การพัฒนาประเทศ’ เนื้อหาจึงชืด ๆ ไม่ค่อยน่าเร้าใจ แต่ก็มีโพสต์ และเดอะเนชั่น จากไทยแลนด์ และหนังสือพิมพ์ระดับโลก เช่น Financial Times, International Herald Tribune, The Asian Wall Street Journal ไปขายตามร้านหนังสือใหญ่ ๆ ที่คอยนินทารัฐบาลเวียตนามอยู่บ้าง (แต่ไม่ทราบว่า ท่านผู้นำของเขาจะสั่งห้ามนักข่าวต่างชาติที่ปากจัดเข้าประเทศ เหมือน ‘ ท่านผู้นำ’ แถวนี้บ้างหรือเปล่า (ฮา))


สำหรับโทรทัศน์ รัฐบาลก็ควบคุมเนื้อหาเหมือนหนังสือพิมพ์ ส่วนเนื้อหาด้านบันเทิงแบบเกมเศรษฐี หรือเกมโชว์ทั้งหลายก็มีอยู่ เพียงแต่เทคโนโลยีการผลิต และรางวี่รางวัลที่แจกให้ผู้ร่วมรายการยังจุ๋มจิ๋มอยู่มาก


โทรทัศน์เวียตนามนำละครหรือหนังจากต่างชาติมาออกอากาศเพื่อความบันเทิงด้วย ที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าในละครจะมีตัวแสดงกี่คน เขาจะใช้คนเวียตนามเพียงคนเดียวในการ ‘ พากย์’


ผู้พากย์จะเป็นผู้หญิง เธอจะใช้การ ‘ อ่านบท’ ให้ตรงกับบทสนทนาของตัวละครแต่ละตัว โดยไม่ใส่อารมณ์ใด ๆ ลงไปในการพากย์เลย และแม้ตัวละครจะเป็นผู้ชาย ผู้พากย์ก็ยังเป็นผู้หญิงคนเดิมนั่นแหละครับ อ่านบทสนทนาของผู้ชาย โดยไม่มีการดัดเสียง หรือใส่อารมณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือ บทสนทนาของตัวละคร จะสื่อความโดยอาศัยการพากย์ทับแบบไร้อารมณ์ แต่อารมณ์ตัวละคร ให้ผู้ชมไปดูจากอวัจนภาษาในจอกันเอาเอง


นั่งดูละครไทย ‘ เลือดหงส์’ ของค่ายเอ็กแซกต์ ที่พากย์โดยสาวเวียตนามคนเดียวอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินแล้ว ต้องนับถือถึงความประหยัดของพี่น้องชาวเวียตนามจริง ๆ ครับ


ว่าจะเล่าเรื่อง ‘ ฮอยอันฯ’ ดันมาโผล่เรื่อง ‘ เลือดหงส์’ พอดีเนื้อที่หมด


คราวหน้า ศุกร์ที่ ๑๗ มิ.ย.มาว่ากันต่อตอนจบนะครับ