Skip to main content

กรอบคิดของการคิดนอกกรอบ

คอลัมน์/ชุมชน


คนกับความคิดนั้นเกิดมาเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนแต่คิดได้ - คิดเป็นกันทั้งนั้น เว้นแต่ว่าจะคิดออกหรือคิดตกในหนทางการใช้ชีวิตหรือหาเลี้ยงชีวิตได้หรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง


 


ความคิดบางครั้งดูเหมือนว่าล่องลอยอยู่ในองคาพยพแห่งร่างกาย และไม่ค่อยจะยอมให้เจ้าของ (ซึ่งก็คือคนเรา) บังคับให้หยุดอยู่กับที่ใดที่หนึ่ง มันวอกแวกไปมาไม่หยุด ล่องลอยแวะเวียนจากความทรงจำเรื่องหนึ่งไปสู่เรื่องที่ยังไม่ได้ลงมือทำ กระทั่งเรื่องที่ติดค้างคาใจ


 


ดังนั้นแล้วเกิดเป็นคนที่มาพร้อมกับความคิดจึงไม่ใช่คุณสมบัติเลอเลิศที่จะอยู่รอดในชั่วโมงปัจจุบันได้ ง่ายๆ  หากไม่รู้จักสร้างพลังความคิดในเชิงบวก  การจัดการบริหารความคิด เพื่อให้สัมผัสได้ถึงความคิดที่หลากหลายในตัวเองว่ามีความคิดอ่านในลักษณะใดบ้าง สิ่งใดเป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ เพราะความคิดบางเรื่องนั้นลำพังหากคนเราวกวนติดอยู่ในห้วงความคิดนั้น นานวันเข้าชีวิตก็อาจจะเหี่ยวเฉาสั้นลง


 


 ‘ความคิดสร้างสรรค์’  อาจเป็นคำคำหนึ่งที่พอคนเราเริ่มโตจำความได้ก็จะได้ยินคำนี้จากคนรอบข้าง หรือเคยได้อ่านคำนี้ที่ครูประจำชั้นเขียนใส่ลงไปบนสมุดผลการเรียนแล้วบอกว่า คนเราแต่ละคนมีเจ้าความคิดที่ว่านี้ไม่เท่ากัน


 


มีมากบ้างน้อยบ้างต่างกันนั่นก็ยังไม่เท่าไร


 


แต่เราก็สัมผัสได้แล้วว่าความคิดที่อยู่ในตัวของคนเราและหลากหลายนั้น อย่างน้อยก็มีรูปแบบหนึ่งล่ะ ที่ใครมีเอาไว้กับตัวให้มากก็เหมือนมีลาภพอที่จะช่วยให้ชีวิตไม่ต้องเข้าตาจน เพราะถึงอย่างไรก็ยังพอจะ ‘สร้างสรรค์’ สิ่งต่างๆ จากความคิดมาสู่ชีวิตได้ในที่สุด


 


แต่พอมาถึงคนในระดับที่พอจะนับความคิดสร้างสรรค์ในตัวได้ในชั่วไม่กี่นิ้วมือเล่า แล้วจะเอาพลังความคิดอันใดเล่ามาฉุดดึงชีวิตไปสู่ทิศทางข้างหน้าด้วยพลังของความคิดในเชิงบวก


 


หลายครั้งหลายหนในที่ทำงานที่ผมเคยผ่านมา  บรรดามนุษย์งานตาดำๆ ที่นั่งอยู่รวมกันนั้นก็ใช่ว่าจะมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ  หรือมีพลังความคิดด้านบวกจนสุกสว่าง เพราะใครก็ตามเมื่อถูกบังคับให้คิด  (ด้วยรูปแบบการกวาดตอนเข้าห้องประชุมรอบแล้วรอบเล่า) มันก็น่าจะเป็นบรรยากาศที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ความคิดสร้างสรรค์หดหาย  ความคิดดีๆ ที่เคยมีก็พลันแห้งเหี่ยวเอาได้


 


แล้วเมื่อถึงเวลานั้นก็เป็นเวลาที่ใครสักคนในวงประชุมนั้น จะตะโกนออกมาว่า เราต้องใช้การ ‘คิดนอกกรอบ’


…think outside the box…


 


 (มันผู้นั้นพอได้ตะโกนหลุดปากคำคำนี้ออกมา แล้วก็พลันยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับหลบสายตาทุกคู่ไปอยู่ที่มุมห้อง ราวกับปวารณาว่าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับการระดมความคิดที่กำลังเกิดขึ้นอีก ฐานะที่ข้าได้ ‘คิดนอกกรอบ’ แนะทางให้พวกเอ็งแล้ว…)


 


ชะตากรรมจึงตกอยู่กับผู้ที่นั่งมองตากันปริบๆ ว่า เออนะ ลำพังแค่จะคิดกรอบกันให้ออก หรือคิดให้ออกตามกรอบที่วางไว้ยังคิดไม่ได้ นี่จะเล่นให้คิดนอกกรอบเลยเชียวหรือ


 


ตามสถานการณ์นี้ผู้ใดที่คิดนอกกรอบได้จึงดูเหมือนมีความคิดที่ดูดี เป็นความคิดสร้างสรรค์ระดับสูง และถือเป็นสุดยอดของท่าไม้ตายแห่งกระบวนการคิด


 


ตามที่ผมสังเกตนั้นความคิดนอกกรอบเป็นญาติสนิทกันพอสมควรกับความคิดที่อิสระไร้อะไรมา ปิดกั้นขอบเขตของความเป็นไปได้  ซึ่งตรงนั้นขอเรียกว่าเป็น ‘พื้นที่แห่งกรอบ’ ที่อาจหมายถึงกฎเกณฑ์ข้อกำหนดทางสังคม วิธีคิดของคนชุดหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในช่วงปัจจุบัน กรอบที่ว่านั้นอาจรวมไปถึงความคิดนอกกรอบเดิมๆ ที่เคยเสนอไปแล้วหรือความคิดสร้างสรรค์ที่มีคนสรรค์สร้างเอาไว้แล้วกลายเป็นมุมมองเดิมๆ เก่าๆ หรือกรอบคิดสีมอๆ


 


ความคิดนอกรอบที่จริงแท้คือการล้อเล่นกับจินตนาการ ความเป็นไปได้กับความเป็นไปไม่ได้ การกระตุ้นให้คนตั้งคำถามคิดถาม และผลักดันชุดความคิดของสังคมให้ดิ้นรนไปจากจุดใดจุดหนึ่งที่เป็นอยู่ จนหลุดพ้นออกจากกรอบครอบหรือกะลาใบเดิม


 


แต่ความคิดนอกกรอบคงไม่อาจเกี่ยวดองกับความคิดหลุดกรอบหรือความคิดหลุดโลก ที่ใครก็ตามเสนอเพื่อเอามันหรือเอาเท่ ให้เข้ากระแส เพราะคำว่าความคิดนอกกรอบได่กลายเป็นเทรนด์หรือคาถาของนัก (รู้จักใช้ความ) คิดไปเสียแล้ว จนผู้ที่อยากจะคิดนอกกรอบ ไม่ตระหนักว่า บางทีความคิดนอกกรอบก็ต้องการกรอบของการคิดอยูบ้างเหมือนกัน