การเดินทางของนักรบที่ไม่มีใครรู้จัก
คอลัมน์/ชุมชน
กระสุนดิน ลูกระเบิดอยู่ในกำมือเด็ก
ไม่มีใครรู้ความลับหลังแววตานั้น
คำสั่งปลุกเร้าความกล้าหาญมีขึ้นทุกวัน
รบเพื่อมาตุภูมิ แผ่นดินเกิด
แผ่นดินที่ไม่มีโอกาสฝังสายรก- -ตั้งรกราก
รายชื่อบัญชีไล่ล่าศัตรูไม่มีวันจบสิ้น
ล้วนยืนอยู่บนความถูกต้องชอบธรรมทั้งนั้น
บนพรมแดน วางชีวิตไว้เป็นเรื่องผักปลา
การกู้ชาติไม่เคยเดินถึงฝั่งฝัน
ฝูงอีเก้งหลงทางตกหน้าผามีเห็นทุกวัน
เหยื่อพรานปืนที่หนีมาไกลสุดทาง
การเดินทางของนักรบที่ไม่มีใครรู้จัก
เด็กเห็นปืน - - ดินระเบิดเป็นแค่ของเล่น
ผู้ร้าย ผู้ก่อการร้ายมีชีวิตอยู่จริง
แบ่งฝ่ายตามล่ากันด้วยกระสุนจริง
โอกาสของผู้ชนะย่อมล้มฝ่ายตรงข้างเพียงอย่างเดียว
นักรบ นับรมที่ไม่เคยคิดถึงการรบครั้งหลังสุด
สนามเพลาะเป็นที่หลับนอนปลอดภัยที่สุด
หลังคาบ้าน - - หมู่บ้าน เป็นแค่ภาพขาวดำในความฝัน
ศพต่อไป อีกศพ อีกกี่ศพ ปณิธานรวมหมู่ค้นหาศพ
บนทางความฝันถึงแผ่นดินมาตุภูมิโดยฝีมือเด็กเด็ก
ทักทายกันเช่นนี้ โปรดอย่าเข้าใจ ว่าผมจะชวนท่านไปฝักใฝ่ลัทธิผู้ก่อการร้าย นิยมชมชอบอัดกระสุนปืนถล่มชีวิตลูกเมียพ่อผู้อื่น ขึ้นชื่นว่านักรบ ก็ไม่พ้นการปวารณาตัวบอกความฝันตัวเอง มุ่งเอาชีวิตศัตรู แม้ว่าศาสดาไหนๆ ต่างนิยามให้เกียรติยกย่องศัตรูกันอย่างเหน็ดเหนื่อยก็ตาม ถึงที่สุด ก็ไม่มีใครอยากเหยียบย่ำไปเห็นเงาศัตรู คำทักทายจากฝุ่นธุลี
บทกวีชิ้นนี้ ผมเคยไปทำเสียงก็องแก็งเพลงดนตรี และเรียกให้เจ็บ ๆ ว่า บทกวีประกอบเพลง แต่นั่นก็นานแล้ว หากใครล่วงรู้ เคยฟัง เกิดอ๋อ-เอ๋อ นั่นแหละ พี่ชายแท้ ๆ ของผม คลานตามกันมาจากครรภ์มารดาเดียวกัน
ด้วยความสัตย์จริง ความลับที่ต้องลงทุนสดับฟังเสียงคุ้นเคย
นามนั้น? ช่างเถอะ...
ดึก 4 ทุ่ม ข้างนอกห้อง มวลอากาศเย็นพัดแรง ขณะผมเปิดโคมไฟ แล้วเกิดอยากอ่าน เงามฤตยู แปลมาจากเรื่อง Silent Spring เขียนโดย ราเชล คาร์สัน (มีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ.1907 1964) อรรถรสผู้แปลน่าอ่านชื่อ คุณหญิงดิฐการภักดี (สายหยุด บุณยรัตพันธุ์) กับ หม่อมวิภา จักรพันธุ์ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจัดแปลและจัดพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 2525 ราคา 36 บาท (หากพบในร้านหนังสือเก่า ราคาจะลดลงครึ่งหนึ่ง 18 บาท)
ผมเปิดอ่านทุกครั้ง บอกตามตรงว่าเกิดอารมณ์- -อยากตะโกนใส่หน้า "สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน" เพียงตระหนักถึงสัตว์เซเปียนสองขา ผู้มีความสามารถทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมโลกอันเยี่ยมยอดที่สุด เปิดหน้าไหนๆ ก็เจอแต่ฉากการทำลายล้าง ต้นไม้ พืช สัตว์ น้ำ อากาศ ดิน หิน ทราย ฯลฯ เหมือนคำเตือนว่า อยู่ใกล้สัตว์พันธุ์นี้แล้วไม่ปลอดภัย
แม้แต่มนุษย์สายพันธุ์เดียวกันก็ไม่ละเว้น
แปลกมั้ย! อาจไม่! อ่านแล้วคิดถึงบทกวีที่ผมเคยเขียนถึง มันถ่ายเทถึงกันด้วยสารเคมีชนิดใดเคลื่อนไหวอยู่ตามร่างกาย ไม่อาจรู้ กระเพื่อมไปมาจนเกิดแรงเสียดทานถึงอีกใบหน้าหนึ่งขึ้นจนได้ ใบหน้าที่ไม่ดิบ ไม่สุกจนเละเกินไป พอห่าม เด็กรับประทานยาก ผู้ใหญ่ต้องใช้ความพยายาม
ที่ไม่พยายามเลยคือเห็นแล้วไม่อยากอ่าน ไม่น่ารับประทาน
"ตัวห้ำ (สะกดถูกแล้วครับ)...คือแมลงที่ฆ่าแล้วกินแมลงอื่นนั้น มีอยู่หลายชนิด บ้างก็ไวมาก สามารถจับเหยื่อที่บินอยู่ในอากาศได้รวดเร็วราวกับนกนางแอ่น บ้างก็ค่อย ๆ ไต่ไปตามกิ่งไม้ และคอยจับแมลงที่อยู่กับที่ เช่น เพลี้ย เป็นต้น..."
เป็นท่วงทำนองมั้ย สิ่งที่ผมคิดอีกอย่าง หลังเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้ คืออยากเห็นมันเป็นอวัยวะส่วนบนสุด ของผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงอยู่คู่มือคนในสายงานรักป่ารักธรรมชาติ
ผมว่าแนวคิดเรื่องปลูกป่าเพื่อมาฆ่าให้ตายนั้นคงจบลงไปได้
แนวคิดคนอยู่กับป่าอีกประการหนึ่งนั้น คือห้ามโคตรตระกูลยาฆ่าหญ้าแมลงเดินทางเข้าไปล้มล้างความเชื่อเดิม ชะล้างความเชื่อมนุษย์กับแมลงอยู่กันไม่ได้ คนกับแมลงต้องพึ่งพาอาศัยกัน สิทธิของการครอบครองใบไม้บนพื้นผิวโลก ต้องได้รับโอกาสโดยเท่าเทียมกัน
และแนวคิดคนอยู่กับป่าข้อสุดท้าย ต้องห้ามวางแผนจัดการกับป่าทุกรูปแบบ ทั้งปลูกป่า เฉือนป่าให้คนบางกลุ่มนำไปปั่นเป็นเงิน จัดแถวต้นไม้ สั่งต้นไม้จากดินแดนอื่นอื่นเข้ามาปลูก ยืมมือชาวบ้านช่วยปลูก จ้างคนไปปลูก เพราะทุกครั้งที่เกิดโครงการหวังดีต่อป่าเช่นนี้ขึ้นมา ระบบนิเวศน์ป่าพังทุกที มีให้เห็นทุกหนแห่งบนภูเขา
กลิ่นป่าป่าไหน มีรูปพรรณสัณฐานเฉพาะถิ่น ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่น แค่ปล่อยให้มันไม่ถูกรบกวน เมล็ดในดินก็พร้อมตื่นขึ้นมาแตกยอดแผ่กิ่งก้าน ป่าไม่ถูกว่าจ้างให้งอกงาม มันพร้อมเสมอจะเงยหน้าสู้ฟ้าดิน
"ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นท้องทุ่ง ทิวไม้ สวน หรือป่า พวกกินแมลงและพยาธิจะทำหน้าที่ของมัน ตามสระน้ำ แมลงปอจะบินฉวัดเฉวียนไปมา ปีกของมันจะต้องกับแสงแดดอยู่ระยิบระยับ รุ่นปู่ย่าตายายของมันเคยบินอยู่ตามบึงใหญ่ๆ ที่พวกมันจระเข้ตัวโต ๆ อาศัยอยู่..."